ที่ผ่านมาสื่อได้มีการรายงานและวิเคราะห์กันในวงกว้างเกี่ยวกับปริมาณหมุนเวียน (circulating supply) ของ Bitcoin (BTC) ซึ่งทุกคนเข้าใจดีว่าในระยะยาวจะมีปริมาณสูงสุดไม่เกิน 21 ล้าน BTC และปริมาณที่ถูกผลิตออกมาใหม่ (block reward) จะถูกปรับลดลงครึ่งหนึ่งทุกๆ 4 ปี โดยประมาณ (Bitcoin Halving) โดยในปัจจุบันจะมี Bitcoin ใหม่ 6.25 BTC ทุกๆประมาณ 10 นาที หรือคิดเป็นอัตราเงินเฟ้อประมาณ 1.76% ต่อปี

(อ่านเพิ่มเติม https://www.livemint.com/money/personal-finance/what-is-bitcoin-halving-and-will-it-affect-the-rate-11610295621496.html)

ในกรณีของ Ethereum (ETH) นั้นไม่ได้มีการจำกัดปริมาณสูงสุด (max supply) เอาไว้แบบแน่นอน แต่ในปัจจุบัน ก็มีการให้ reward จากการทำ Proof-of-Work (PoW) mining (เพื่อตรวจสอบการทำธุรกรรมในระบบ blockchain) โดยในปัจจุบันอัตราการเกิดใหม่ของ ETH จากระบบ Proof-of-Work คิดเป็นอัตราเงินเฟ้อ อยู่ที่ประมาณ 4.2% ต่อปี

อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยหลายอย่างทั้งที่เกิดขึ้นแล้ว และที่กำลังจะเกิดขึ้น ทำให้อัตราเงินเฟ้อที่แท้จริงของ ETH กำลังลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และอาจจะถึงขั้นติดลบในอนาคตอันใกล้นี้ เราลองมาพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้ครับ

1. EIP-1559 (London Hard Fork)

EIP-1559 เป็นการ upgrade ระบบของ Ethereum ซึ่งถูก implement ไปในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้มีการนำค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม (gas fee) บางส่วนมาทำการ “burn” หรือทำให้หายไปจากระบบอย่างถาวร

(อ่านเพิ่มเติม https://cryptobriefing.com/eip-1559-ethereums-fee-burning-proposal-explained/)

โดยเริ่มตั้งแต่ วันที่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบันแค่เพียงประมาณ 7 สัปดาห์ที่ผ่านมา มี ETH ถูก burn ไปแล้วกว่า 345,000 ETH หรือโดยเฉลี่ย 5 ETH/นาที (จาก supply ทั้งหมดของ ETH ประมาณ 117 ล้าน ETH) ด้วย อัตรานี้ ETH จะหายไปจากระบบอย่างถาวร ประมาณ 1-2% ต่อปี (ขึ้นอยู่กับค่า gas fee ณ ตอนนั้น)

สามารถติดตามการ burn แบบสดๆ ได้ที่ https://ultrasound.money/

ภาพที่ 1 : Estimate fee burn in 1 year

ภาพที่ 2 : Fee burn ( จาก 4 ส.ค. – 22 ก.ย. 2565)

ภาพที่ 3 : ธุรกรรมที่ burn fee เยอะที่สุด (22 ก.ย. 2565)

Source: ultrasound.money (วันที่ 22 ก.ย. 2564)

2. ETH Staking in Beacon Chain (ส่วนหนึ่งของ Ethereum 2.0 Roadmap)

 Ethereum community มีการเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนระบบ validation จาก Proof-of-Work ไปเป็น Proof-of-Stake โดยมีการ run ระบบ Proof-of-Stake แบบคู่ขนานกันมาตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2563 แล้ว โดยระบบนี้เรียกว่า Beacon Chain

โดยผู้ที่นำ ETH มาฝากไว้กับ Beacon Chain (Staking) จะได้รับ reward (คล้ายๆดอกเบี้ยเงินฝาก) คิดเป็นประมาณ 5-6% ต่อปี (ค่าในปัจจุบัน อาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ขึ้นกับปริมาณคนที่นำ ETH มาฝาก) ซึ่งในปัจจุบันมาจำนวน ETH ที่ฝากไว้กว่า 7.7 ล้าน ETH หรือประมาณ 6% ของ supply ทั้งหมด ซึ่งหมายถึงว่า ETH เหล่านี้จะถูกนำออกจากการหมุนเวียน จนกว่าจะถึง “The Merge”  (ดูย่อหน้าถัดไป)

มีโอกาสสูงที่ ETH  เหล่านี้จะถูกฝากเอาไว้ต่อไปในอนาคตเพื่อรับผลตอบแทน (เทียบเท่ากับการถือ bond ) โดยไม่มีการถอนออกมามากนัก

(สามารถดู ETH ทีฝากไว้ได้ที่ https://beaconcha.in/)

(อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Beacon Chain https://consensys.net/blog/blockchain-explained/the-ethereum-2-0-beacon-chain-is-here-now-what/)

3. The Merge

ในที่สุดแล้ว ระบบ Proof-of-Work จะหายไป เหลือแต่ Proof-of-Stake (เหลือแต่ Beacon Chain) โดยจาก roadmap ในปัจจุบันคาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 1-2 ปี 2565

ภาพที่ 4: Ethereum’s Upgrade Path

Source: Trent Van Epps’ twitter

(อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ The Merge https://ethereum.org/en/eth2/merge/)

โดย Proof-of-Work mining นั้นเปรียบเทียบได้กับระบบ Proof-of-Work ของ Bitcoin ซึ่งจะมี miner ทั่วโลก นำอุปกรณ์ต่อเข้ากับระบบ ทำการประมวลผลที่ซับซ้อน เพื่อให้สามารถทำ validation ระบบได้ โดยการทำเช่นนี้จะต้องใช้ต้นทุนสูงมาก เช่น ค่าอุปกรณ์ ค่าไฟ ค่าจ้างพนักงาน ค่าสถานที่ ซึ่งระบบ Proof-of-Work ในปัจจุบันของ Ethereum ได้มีการให้ reward กับคนกลุ่มนี้คิดเป็นประมาณ 4.2% ต่อปีของปริมาณ ETH ทั้งหมด (แน่นอนว่าเพื่อให้นำไปจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ และเหลือกำไรเล็กน้อย)

ภายหลังจากการยกเลิกระบบ Proof-of-Work ในไตรมาส 1 ปีหน้า หมายความว่าระบบจะไม่ต้องให้ reward 4.2% นี้ ให้กับ miner อีกต่อไป ทำให้ปริมาณออกใหม่ของ ETH ลดลง 4.2% จากปัจจุบัน (ทำให้ปริมาณ ETH ที่ออกใหม่ลดลงเหลือเพียง 0.6% ต่อปี จาก reward ที่ให้คนที่นำ ETH มา stake ใน Beacon Chain)

จะเห็นได้ว่าปัจจัยนี้เป็นปัจจัยที่มีผลมากที่สุดในการลดปริมาณ Supply ใหม่ ของ ETH ลงมา

จากประมาณการโดยคร่าวๆ จะเห็นว่าปริมาณ ETH ที่ออกใหม่มีแนวโน้มที่จะติดลบ (ETH ที่หายไป มากกว่าที่ออกใหม่) โดยคำนวณได้จาก 0.6% reward ใน Beacon Chain และ -1.5% fee burn (EIP-1559) คิดเป็น net inflation -0.9% ต่อปี

นั่นหมายถึงว่าปริมาณ ETH จะลดลง (deflation) 0.9% ต่อปี และมากกว่านั้นถ้ามีการใช้งานเพิ่มมากขึ้น (fee burn เยอะขึ้น)

4. ETH used as collateral in DeFi systems

ปริมาณ ETH ที่ถูกนำมาใช้ในระบบ DeFi มีมูลค่าประมาณ 80,000 ล้าน USD

(ดูตัวเลขล่าสุดได้ที่ (https://defipulse.com/)

ภาพที่ 5:

ซึ่ง ETH เหล่านี้ถูกใช้ในการเป็น Liquidity ให้ decentralized exchanges เช่น Uniswap หรือ ระบบกู้ยืมเงินเช่น AAVE หรือ Compound เป็นต้น นอกจากนี้ ETH ยังถูกนำมาใช้ในการเทรด NFTs (Non-Fungible Tokens) หรือแม้แต่คนที่สะสม ETH ไว้เฉยๆเพื่อเป็น store of value

โดยสรุปแล้ว มีความเป็นไปได้สูงมากที่ ETH จะเข้าสู่ภาวะ Scarcity Shock หรือการที่ปริมาณหมุนเวียนของ ETH ในระบบจะลดลงเป็นอย่างมาก หลังจาก The Merge เสร็จสิ้น โดยเริ่มสังเกตเห็นได้จากปริมาณ ETH ใน exchange ต่างๆ ลดลงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา (https://www.coindesk.com/markets/2021/08/10/ether-held-on-centralized-exchanges-hits-3-year-low/)

ภาพที่ 6: ปริมาณ ETH ใน centralized exchanges

Source: OKLink ChianHub

ในช่วงเวลาหลังจากที่ “The Merge” เกิดขึ้น จะเป็นเหตุการณ์ที่น่าติดตามว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับ supply ของ Ethereum และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับราคาจะเป็นเช่นไร แต่ที่แน่ๆ Ethereum ได้วางรากฐานของ ecosystem ของ internet of value ไว้ได้อย่างดี เพื่อที่จะให้นวัตกรรมทางการเงินแบบใหม่ๆ ได้ถูกสร้างขึ้น และเติบโตได้บน infrastructure ของ Ethereum