หลายครั้งที่คนเราเกิดอารมณ์ติดลบเนื่องจากสิ่งเร้าต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นความหงุดหงิดความเครียดเมื่อรถติดไปทำงานสาย โดนเจ้านายด่าตำหนิติเตียน เจอคนพูดจาไม่ดีให้ได้ยิน รู้สึกไม่พอใจ คนรักเอาแต่ใจทำให้ทะเลาะกันบ่อยรู้สึกโกรธ น้อยใจ เสียใจ ฯลฯ แล้วจะมีวิธีรับมืออารมณ์ติดลบเหล่านี้พร้อมเปลี่ยนความรู้สึกให้เป็นอารมณ์ด้านบวกได้อย่างไร

 

1. ความรู้สึกตัว เมื่อไรก็ตามที่เกิดอารมณ์ติดลบขึ้นแล้วเรารู้สึกตัวจะส่งผลให้อารมณ์ดังกล่าวลดความรุนแรงลง เช่น คนที่รู้ว่า “ฉันกำลังโกรธ” จะลดความโกรธลงได้ คนที่รู้ตัวว่า “ฉันกำลังหงุดหงิด” จะลด ความหงุดหงิดลงได้ ทำให้สามารถใช้เหตุผลตัดสินใจได้ดีขึ้น หรือใช้เทคนิคการสร้างความรู้สึกตัว โดยหมั่นตั้งคำถามว่า “ฉันกำลังรู้สึก อย่างไร” และตอบตนเองให้ได้ว่า “ฉันกำลัง...”

2. การหายใจ การมีสติรับรู้ลมหายใจเข้าออกถือว่าเป็นการทำสมาธิให้อารมณ์ และจิตใจกลับเข้าสู่ภาวะสงบ ซึ่งควรเริ่มทำในท่านอนจนทำได้แล้ว ค่อยขยับมาทำท่านั่งและยืน ฝึกการหายใจที่ผ่อนคลายจนเป็นนิสัย เทคนิคการหายใจมีหลากหลายแตกต่างกันออกไป สำหรับวิธีง่าย ๆ ขั้นพื้นฐาน ได้แก่ การนับ (Counting) นับควบคู่ไปกับการกำหนดลมหายใจเข้าออก และใช้คำภาวนา เช่น “พุท-เข้า โธ-ออก” หรือ “พองหนอ-ยุบหนอ” เป็นต้น ซึ่งเป็นรากฐานเดียวกับการทำโยคะ หรือการนั่งสมาธิ


3. การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
 สามารถทำได้กับกล้ามเนื้อทุกส่วนที่รู้สึกเครียด โดยเริ่มจากอิริยาบถที่อวัยวะทุกส่วนผ่อนคลายและสบายมากที่สุด แล้วค่อย ๆ ผ่อนกล้ามเนื้อส่วนดังกล่าวจนรู้สึกผ่อนคลายมากที่สุด โดยวิธีนี้จะช่วยกำจัดอาการปวดหัว อาการปวดทั่วไป และอาการนอนไม่หลับได้เป็นอย่างดีด้วย


4. การฝึกควบคุมประสาทอัตโนมัติ
 วิธีง่ายที่สุด คือ การฝึกฝ่ามือร้อน ด้วยการตั้งฝ่ามือในระดับทรวงอก หันฝ่ามือเข้าหากันโดยเว้นช่วงห่างประมาณ 2-3 นิ้วฟุต หลังจากนั้นขยับฝ่ามือออกจากกันช้า ๆ จนห่างพอควรแล้วขยับเข้ามาใกล้กันอีก ทำอย่างนี้เป็นจังหวะช้า ๆ จับความรู้สึกของฝ่ามือทั้ง 2 ข้างด้วยสมาธิ จะทำให้เกิดความร้อนขึ้นบนฝ่ามือ ซึ่งเกิดจากหลอดเลือดบนฝ่ามือขยายตัว แนะนำให้ทำติดต่อกันอย่างน้อย 5-10 นาที


5. การจินตนาการ
 ลองจินตนาการถึงสิ่งสวยงามเพื่อคลายเครียด หรืออาจประยุกต์ใช้วิธีการของจิตบำบัดซึ่งจะช่วยให้เกิดผลดีมากขึ้นอีกด้วย นั่นคือให้คิดถึงสิ่งที่ทำให้เกิดการกลัวในขณะที่กำลังอยู่ในสภาพผ่อนคลาย วิธีนี้เริ่มต้นจากการทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายก่อน จากนั้นค่อยนึกภาพสิ่งเร้าที่ทำให้เกิดความกลัว เป็นลำดับขั้นจากระดับที่ก่อให้เกิดความกลัวน้อยที่สุดไปจนถึงมากที่สุด ทั้งนี้การเผชิญหน้ากับความทุกข์ในสภาพผ่อนคลายช่วยทำให้เกิดอารมณ์ทางบวกและความสงบในที่สุด


6. คิดในทางที่ถูก
 ในทางวิทยาศาสตร์พบว่า ความคิดสัมพันธ์กับสมองเมื่อคิดอย่างหนึ่งสมองก็จะตอบสนองไปตามนั้น เช่น เมื่อคิดถึงสุขภาพภายใต้ ความเครียด ความกดดัน หรือความซึมเศร้า อาการปวดจะรุนแรงที่สุด เมื่อผ่อนคลายหรือกำลังมีความสุข ความเจ็บปวดก็จะลดลง ดังนั้น ความคิดสามารถกำกับกายให้เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ได้


7. คิดเชิงบวก 
ความคิดทางลบของเราเอง เช่น คิดแต่สิ่งที่สูญเสียจมอยู่กับภาพอดีต มองโลกในร้าย กลัวการเปลี่ยนแปลง ฯลฯ เป็นสาเหตุของความเครียด ยิ่งต้องเผชิญความกดดันต่าง ๆ รอบตัว ความเครียดที่เกิดขึ้นนั้นก็จะกลายเป็นสาเหตุของความทุกข์ใจร่วมด้วย เมื่อสองแรงมาผสานกัน ความเครียดกับความคิดทางลบจะสะสมกลายเป็นความวิตกกังวล หรือ นานไปก็กลายเป็นความท้อแท้สิ้นหวังและซึมเศร้าในที่สุด


นอกจากต้องผ่อนคลายความเครียดด้วยการจัดการทางอารมณ์ การจัดการกับความคิดก็จะช่วยขจัดทุกข์ในระยะยาวได้ โดยวิธีการหลัก คือ ปรับเปลี่ยนความคิดใหม่ให้เป็นความคิดทางบวก (Positive Thinking) ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เกิดพลังในการใช้ชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหาโอกาสท่ามกลางอุปสรรค (Turning Obstacle Into Opportunity) ทำให้เรามองเห็นประโยชน์ของปัญหา เช่น เมื่อตกงานให้ลองมองมุมใหม่ว่า คือ โอกาสอันดีที่จะได้เจองานใหม่ ๆ ที่ท้าทายหรือน่าสนใจกว่างานเดิม ซึ่งการคิดในทางบวกนี้ถือว่ามีประโยชน์ในระยะยาว ให้มองปัญหาเป็นบทเรียนสำหรับที่จะปรับปรุงสิ่งบกพร่องต่อไปได้

 

ขอบคุณข้อมูลจาก  www.thaihealth.or.th