ช่วงนี้ใครที่ถือหุ้นคงจะดีใจกันถ้วนหน้าเพราะว่าดัชนีปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่เหนือ 1700 จุดได้ และทำสถิติจุดสูงสุดใหม่ในรอบหลายสิบปี ในระยะเวลาไม่นานทำให้บรรยากาศการลงทุนคึกคักขึ้นมาทันที แต่หลายคนไม่ได้ถือหุ้นก่อนหน้านี้ทำให้พลาดตกรถไปอย่างน่าเสียดาย ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงการปรับตัวในช่วงที่ดัชนีร้อนแรงกันครับ

1.ต้องรู้ตัวว่าตัวเองเป็นนักลงทุนประเภทไหน โดยการสำรวจตัวเองว่าชอบแนวทางการลงทุนแบบวีไอ หรือ แนวเทคนิคอล ซึ่งกลยุทธ์และการปรับตัวตามสภาวะตลาดก็จะไม่เหมือนกัน

2.เมื่อเรารู้ตัวแล้วว่าเป็นนักลงทุนประเภทไหน ก็ต้องกำหนดกลยุทธ์ในการลงทุนให้เข้ากับประเภทนักลงทุน กรณีที่เราเป็นนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือวีไอก็ควรจะยึดหลักของวีไอ

- หามูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นแต่ละตัวที่เราสนใจ

- ถ้าหุ้นตัวไหนที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าเราก็ยังสามารถเข้าซื้อได้ แต่ถ้าราคาสูงเกินมูลค่าควรชะลอการเข้าซื้อไว้ก่อน

- ถ้าหุ้นตัวไหนที่ราคาสูงเกินมูลค่าไปมากก็ต้องพิจารณาขายทำกำไรออกมาบ้าง

- ที่ระดับดัชนีสูงๆ มักจะมีหุ้นที่ราคาเกินมูลค่าอยู่เป็นจำนวนมากกว่าปกติ

- แต่ถ้าเป็นบริษัทที่ดีมากๆ แต่ราคาเกินมูลค่ามานิดหน่อยก็อาจจะพิจารณาถือต่อไปได้ 

3.กรณีที่เป็นนักลงทุนแนวเทคนิค

- หาหุ้นที่มีสัญญานทางเทคนิคที่ดี เป็นจุดเข้าซื้อที่เหมาะสม

- ถ้าหุ้นยังอยู่ในขาขึ้น (uptrend) อยู่ ก็ถือต่อไป อย่ารีบขายเร็วเกินไป ซึ่งการที่จะพิจารณาว่าเป็นขาขึ้นอยู่หรือไม่นั้นก็เป็นเทคนิคของนักลงทุนแต่ละคน โดยอาจจะเลือกใช้ indicator ที่ตัวเองถนัดเพื่อมาบ่งบอกแนวโน้ม

- คอยจับตาดูว่าหุ้นได้เปลี่ยนเป็นขาลงเมื่อไหร่ให้พิจารณาขายทำกำไรออกมา

4. ควรจะทำตามระบบที่ตั้งใจไว้อย่างเคร่งครัด ถ้ามีสัญญานขายต้องขาย อย่ารีรอ ถ้ายังไม่ถึงจุดที่ควรซื้อก็ไม่ควรซื้อ

- นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะหลงไปกับตลาดที่ปรับตัวสูงขึ้นมาเยอะทำให้มีความระมัดระวังตัวลดลงไป และไปไล่ซื้อหุ้นที่ราคาแพงโดยไม่ได้มีกลยุทธ์ที่ถูกต้อง

- ราคาหุ้นที่ขึ้นมาอยู่ในระดับสูงทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มมากยิ่งขึ้น ทำให้ต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนมากขึ้นก่อนที่จะเข้าซื้อ

- ที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการซื้อ คือจุดขาย การที่ต้องขายแล้ว แต่ยังไม่ยอมขายนั้นย่อมทำให้พอร์ตเสียหายได้ในที่สุด

โดยสรุปแล้วการที่ดัชนิปรับตัวขึ้นมาอย่างร้อนแรงนั้นเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง โดยอาจจะทำให้ตลาดหุ้นคึกคัก และมีหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้นอยู่มาก การลงทุนก็อาจจะมีโอกาสทำกำไรได้ในระยะสั้น อย่างไรก็ตามนักลงทุนควรยึดมั่นในหลักการของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นแนวพื้นฐานหรือแนวเทคนิค และควรปรับตัวไปตามสภาวะตลาดโดยไม่ให้ระดับของดัชนีมามีผลต่อการตัดสินใจได้

 

บทความโดย เทอร์ร่า บีเคเค ดร.ธนภูมิ ดำรักษ์, CFA.

Email : tanapoom@uchicago.edu