ผ่านมาอย่างยากลำบากสำหรับ ครึ่งปีแรกของปี 2565 เรียกว่าผ่านร้อนผ่านหนาว มากับทั้งการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ระลอกแล้วระลอกเล่า ต่อด้วยสงครามการค้าระหว่างอเมริกากับจีน สด ๆ ร้อนๆ กับสงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซีย ซึ่งส่งผลในวงกว้าง ทั้งในต้นทุนการผลิตที่มากขึ้นจากการคว่ำบาตรรัสเซีย แต่ดูเหมือนจะเปิดโอกาสให้ทางรัสเซียเปลี่ยนขั้วการค้าอย่างเปิดเผยกับโลกฝั่งตะวันออกมากขึ้น อย่างประเทศจีนอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลกระทบกลับไปทางกลุ่มประเทศที่คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ  และลุกลามไปทั่วโลก โดยหลัก ๆ มาจากน้ำมันดิบที่เป็นผลิตภัณฑ์หลักของทางรัสเซีย โดยรัสเซียเองเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบเป็นอันดับ 3 ของโลก รัสเซีย 10.7 ล้านบาร์เรล/วัน (ข้อมูล 2563 ที่มา : Bloomberg) ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันแพงขึ้น และส่งผลต่อต้นทุนของสินค้าแต่ละประเภทให้เพิ่มขึ้น มีผลกระทบไปถึงอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นกระจายไปทั่วโลก มาตรการที่ออกมาในการจัดการกับภาวะเงินเฟ้อของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED คือการปรับอัตราดอกเบี้ย 15 มิ.ย.65 ที่ผ่านมาที่ 0.75% ทำให้อัตราดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.50-1.75%  เป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงที่สุดในรอบ 28 ปี

สำหรับตลาดหุ้นไทย ค่อนข้างตอบรับไวกับข่าวและสถานการณ์ต่าง ๆ ทำให้มีความผันผวนของการลงทุน ซึ่งเน้นมาโดยตลอดว่า การบริหารจัดการความเสี่ยงของการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญ การเลือกทรัพย์สินให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้ และมีทรัพย์สินที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงที่มีผลตอบแทนสม่ำเสมอ จะทำให้พอร์ตการลงทุนปลอดภัยขึ้น  ในสถานการณ์แบบนี้การเก็บเงินสดไว้กับตัวหรือการฝากเงิน อาจจะยังไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดเสมอไป เพราะยังมีทรัพย์สินบางประเภทที่ให้ผลตอบแทนที่ดีและสม่ำเสมออยู่ อย่างเช่น กอง REIT  การลงทุนในกอง REIT จะเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้ ทราบถึงแหล่งสถานที่ที่จะลงทุนชัดเจน ลงโดยตรงที่โครงการโรงงานและคลังสินค้าไหน ตึกออฟฟิศไหน โรงแรมไหน หรือแม้แต่จะลงโดยทางอ้อมในการเข้าซื้อหุ้น ก็จะแสดงให้ทราบว่าเป็นหุ้นในบริษัทใด ทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัยพ์ประเภทไหน ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนที่ดีจำเป็นจะต้องรู้ ว่าสิ่งที่เราลงทุนไปเป็นทรัพย์สินประเภทไหน ประกอบธุรกิจอะไร ได้รายได้มาจากไหน และจะเติบโตในอนาคตอย่างไร ซึ่งกอง REIT ตอบโจทย์ในเรื่องนี้

โดยกอง REIT เองก็มีหลากหลายประเภทให้นักลงทุน ศึกษาและลงทุน ยกตัวอย่างเช่น โรงแรม (Hospitality REIT), ศูนย์การค้า (Retail REIT), ออฟฟิศ (Office REIT), รวมอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภท (Mixed Use REIT), ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม (Exhibition Center REIT) และโรงงานและคลังสินค้า (Industrial REIT) ซึ่งหากเทียบผลการดำเนินงานที่ผ่านมาก็จะพบว่าในช่วงสถานการณ์ต่างๆ ที่กล่าวข้างต้น กอง REIT ประเภทโรงงานและคลังสินค้า (Industrial REIT) เป็นประเภทที่ยังทำผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้ดีอยู่ เพราะรายได้ที่ได้รับเป็นรายได้จากการเช่าของผู้เช่ารายย่อย ซึ่งมีสัญญาเช่าโดยปกติของประเภทนี้จะเป็นระยะ 3 ปีต่อรอบสัญญา หรืออาจจะมีสัญญาระยะยาวตั้งแต่ 6-12 ปีขึ้นไป หรือยาวกว่านั้นเรียกว่าเช่าเหมากลับไปบริหารเอง อาจจะยาวถึง 20 ปี จึงทำให้รายได้ที่เข้ามามีความสม่ำเสมอ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดูแลทรัพย์สินประเภทนี้ก็น้อย หากได้ผู้บริหารอสังหาริมทรัยพ์ หรือเจ้าของอสังหาริมทรัพย์รายเดิมดูแลมาดี

ซึ่งโดยสถิติที่ผ่านมา อัตราการจ่ายเงินปันผลของกอง REIT แต่ละประเภททมีความแตกต่างกันไป ตามปัจจัยของสถานการณ์ที่มากระทบและลักษณะของรายได้ที่ได้รับ ซึ่งนักลงทุนต้องศึกษาเพิ่มเติมในรายละเอียดของทรัพย์สินที่จะลงทุนอย่างละเอียด ใน Website ของตลาดหลักทรัพย์ หรือ Website ของกอง REIT นั้นๆ ก่อนตัดสินใจลงทุน

ซึ่งถ้ามองในแง่ของการเปรียบเทียบในตลาดระหว่าง อัตราการจ่ายเงินปันผลของหุ้นทั้งหมดของตลาดหลักทรัพย์ เทียบกับ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกอง REIT รวมทุกประเภท และกอง REIT ประเภทโรงงานและคลังสินค้า จะเห็นว่าอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ได้รับที่ผ่านมา กอง REIT ก็ยังเป็น 1 ในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีและสม่ำเสมออยู่

ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่ควรใช้ประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเองก็คือ การประเมินความเสี่ยงของตัวท่านเองก่อนว่า สามารถรับความเสี่ยงของแต่ละทรัพย์สินที่จะลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน โดยได้มีการลงบทความไว้เกี่ยวกับการจัดการบริหารความเสี่ยงใน บทความก่อนหน้านี้

การที่จะมีสินทรัพย์ในพอร์ตการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ก็ยังเป็นเรื่องจำเป็นในการช่วยลดความเสี่ยงของตลาดที่ผันผวนและช่วยบริหารจิตใจได้อย่างดี หากยังได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอในสถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้อย่างเช่นปัจจุบัน