ดร.ธนภูมิ ดำรักษ์

คำนิยามของหุ้นเติบโตของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปสำหรับผมแล้วคำว่าหุ้นเติบโตเร็วหมายถึงหุ้นที่มีผลกำไรต่อหุ้นเติบโตในอัตราทบต้นเกิน 10-15% ต่อปีขึ้นไปต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลายาวนาน (อาจจะ 5 ถึง 10 ปีขึ้นไป)



ทำไมเราถึงควรที่จะลงทุนในหุ้นเติบโต?

ถ้าตอบอย่างง่ายๆก็คือหุ้นเติบโตก็จะทำให้ผลกำไรเติบโตและมูลค่าของหุ้นในอนาคตก็จะเพิ่มสูงตามไปด้วยแต่แน่นอนว่าถ้าทุกคนรู้ว่าหุ้นตัวไหนเป็นหุ้นเติบโตเร็วก็คงจะเข้าซื้อจนทำให้ราคาขึ้นไปอยู่ในระดับสูง เข้าทำนองว่าของดีก็ต้องราคาแพงเป็นธรรมดาทำให้หุ้นเติบโตส่วนใหญ่มักจะมี Price-to-earning ratio (P/E) สูงไปด้วยซึ่งนักลงทุนบางคนอาจจะไม่ค่อยกล้าลงทุนเนื่องจากมูลค่าที่สูงกว่าหุ้นตัวอื่น (ในแง่ P/E หรือ P/B ratio)

ซึ่งถ้าหากอัตราการเติบโตต่ำกว่าที่ตลาดประเมินไว้หรือมีการลดลงอย่างมีนัยสำคัญก็อาจทำให้ตลาดให้ค่า P/E ลดลงส่งผลให้ราคาหุ้นลดลงเช่นกัน

แต่ถ้าหากหุ้นเติบโตตัวนั้นสามารถทำกำไรเพิ่มได้อย่างรวดเร็วจริงๆก็อาจจะคุ้มค่าน่าลงทุน

ยกตัวอย่างเช่น หุ้นค้าปลีกบางตัวที่ถึงแม้ว่าจะซื้อขายกันที่ราคา P/E เกิน 20 เท่ามาเป็นระยะเวลายาวนาน (อาจจะถึง 30 หรือ 40 เท่าในบางช่วงเวลา) แต่ก็ยังให้ผลตอบแทนที่ดี (หลายร้อยเปอเซนต์ในช่วงเวลา 10 ปี!) แก่นักลงทุนในระยะยาวเนื่องจากกำไรที่โตต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ราคาตรงจุดที่เราเข้าซื้อก็มีความสำคัญมากเช่นกัน เราควรพิจารณาศักยภาพการเติบโตในระยะยาวเทียบกับมูลค่าหุ้นในปัจจุบันด้วย และเมื่อซื้อได้ในราคาที่เหมาะสมแล้วก็ควรถือไปตราบเท่าที่ศักยภาพของการเติบโตยังดีอยู่เพราะว่าราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นตามกำไรที่เติบโตขึ้นเอง

ผมจะขอยกตัวอย่างเป็นตัวเลขเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้นนะครับ

สมมุติว่ามีหุ้น 2 ตัว

  1. หุ้นบริษัท A ราคา 20 บาท บริษัทมีกำไรต่อปีต่อหุ้น 1 บาท มีค่า P/E = 20 และมีอัตราการเติบโตของกำไร 20% ต่อปีในช่วง 5 ปีข้างหน้า และหลังจาก 5 ปีผ่านไป P/E ลดลงเหลือ 15 เท่า

  2. หุ้นบริษัท B ราคา 10 บาท บริษัทมีกำไรต่อปีต่อหุ้น 1 บาท มีค่า P/E = 10 และมีอัตราการเติบโตของกำไร 10% ต่อปีในช่วง 5 ปีข้างหน้าหลังจาก 5 ปีผ่านไป P/E คงที่ที่ 10 เท่า

เราควรจะลงทุนในบริษัทไหนดีกว่ากัน?

  • กรณีที่ 1 ถ้าเราลงทุนในบริษัท A ซึ่งดูเหมือนว่าราคาเมื่อเทียบกับกำไรในปัจจุบันจะสูงกว่าแต่มีความเสี่ยงที่ P/E จะปรับตัวลดลงในอนาคตถ้าหากเราคำนวณผลตอบแทนทบต้นก็จะได้
กำไรต่อปีของบริษัทในอีก 5 ปีข้างหน้าเท่ากับ 1 * (1.2)*(1.2)*(1.2)*(1.2)*(1.2) = 2.49 บาท ที่ค่า P/E 15 เท่าบริษัท A จะมีมูลค่า = 2.49 * 15 = 37.35 บาท
ผลตอบแทน = (37.35 – 20) / 20 = 86.75%
  • กรณีที่ 2 บริษัท B คำนวณผลตอบแทนทบต้นก็จะได้ กำไรต่อปีของบริษัทในอีก 5 ปีข้างหน้าเท่ากับ 1 * (1.1)*(1.1)*(1.1)*(1.1)*(1.1) = 1.61 บาท ที่ค่า P/E 10 เท่าบริษัทจะมีมูลค่า = 1.61 * 10 = 16.1 บาท
ผลตอบแทน = (16.1 – 10) / 10 = 61.1%

จะเห็นได้ว่า การลงทุนในหุ้นเติบโตเร็ว ถึงแม้ว่า P/E จะสูงแต่ก็มีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นที่ไม่มีการเติบโต จากการคำนวณข้างต้นสามารถให้ข้อคิดได้ว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นเติบโตประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลัก (ยังไม่รวมผลตอบแทนจากเงินปันผล)

1) การเติบโตของกำไร 
2) การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของ P/E multiple

ทั้งนี้ยังไม่ได้รวมผลตอบแทนจากเงินปันผลซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วหุ้นที่ P/E ต่ำกว่ามักจะมี Dividend Yield ที่สูงกว่า

อย่างไรก็ตามนักลงทุนควรระมัดระวังโดยไม่ควรจ่ายแพงเกินไป (ให้ค่า P/E สูงเกินไป) สำหรับหุ้นบางตัวที่มีโอกาสสูงที่อัตราการเติบโตจะลดลงในอนาคต

แต่ถ้าหากหุ้นตัวนันเติบโตได้จริงสมกับมูลค่าที่แพงก็อาจจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า การประเมินกำไรในอนาคตรวมทั้งคุณภาพของกำไรจึงเป็นสิ่งสำคัญ จึงมีคำกล่าวว่าควรลงทุนในหุ้น Growth At Reasonable Price (GARP) หรือหุ้นเติบโตในราคาที่เหมาะสมนั่นเอง

ดร.ธนภูมิ ดำรักษ์, CFA.

บทความโดย เทอร์ร่า บีเคเค ดร.ธนภูมิ ดำรักษ์, CFA. Email : tanapoom@uchicago.edu