CPANEL เผยทิศทางธุรกิจไตรมาส 3/2566 โตต่อเนื่อง ตุน Backlog 1,476.38 ล้านบาท โครงการแนวราบ-แนวสูง จ่อออร์เดอร์อีกเพียบ เทรนด์รักษ์โลก ก่อสร้างเร็ว ลดต้นทุน หนุนความต้องการ Precast Concrete ด้านงบครึ่งปีแรกรายได้ 224.94 ล้านบาท กำไรโต 40.62%  

นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) หรือ CPANEL ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) ด้วยระบบอัตโนมัติ (Fully Automated Precast) ที่ใช้สำหรับงานก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจช่วงไตรมาส 3 ปี 2566 แนวโน้มขยายตัวจากกลุ่มลูกค้าใหม่และลูกค้าเดิม

โดยบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ณ 16 ส.ค. 2566 จากสัญญาที่ลงนามเรียบร้อยแล้วอยู่ที่ 1,476.38  ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ปีนี้ 267.54 ล้านบาท และภายในปี 2567 จำนวน 1,208.84 ล้านบาท      อีกทั้ง บริษัทอยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญากับลูกค้าใหม่ทั้งโครงการแนวราบ-แนวสูงเพิ่ม  9 ราย มูลค่ารวมกว่า 250 ล้านบาท คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้

แม้ว่าภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีหลังมีแนวโน้มชะลอตัว จากความผันผวนทางเศรษฐกิจ แต่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายรายยังมีแผนลงทุนในโครงการใหม่ๆ โดยเฉพาะผู้ประกอบการฯ ระดับกลาง-บน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฐานลูกค้าของบริษัท ประกอบกับ กระแสรักษ์โลกและพฤติกรรมผู้บริโภคหันมาเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ผู้ประกอบการฯ มีความต้องการใช้ Precast Concrete มากขึ้น

ทั้งนี้ Precast Concrete ของ CPANEL สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครอบคลุม ทั้งความรวดเร็วในการส่งมอบงาน การลดต้นทุนการก่อสร้าง ลดจำนวนแรงงาน รวมถึงลดปัญหาฝุ่น-มลพิษการงานก่อสร้าง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวถือเป็นโอกาสในการรับงานให้กับบริษัท

สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรก 2566 บริษัทมีรายได้รวม 224.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 194.57 ล้านบาท จำนวน 30.37 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15.61% และมีกำไรสุทธิ 34.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 24.62ล้านบาท จำนวน 10 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 40.62%

ส่วนผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2566 บริษัทมีรายได้รวม 106.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้รวม 104.27 ล้านบาท จำนวน 2.09 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2% และมีกำไรสุทธิ 15.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 13.00 ล้านบาท จำนวน 2.52 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 19.38%