นายไซม่อน ลี ประธานกรรมการ บริษัท แองเจิล เรียลเอสเตท  คอนซัลแทนซี่ จำกัด (Angel Real Estate Consultancy Co.,Ltd.หรือ ARE) บริษัทที่ปรึกษาด้านการตลาดและขายของประเทศไทย โดยเฉพาะโควต้าต่างประเทศ (Foreign Quota) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดอสังหาฯ โควต้าต่างประเทศในปี 66 คาดว่าตลาดจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นหลังจากที่ในช่วงโควิด19 ทำให้ลูกค้าต่างชาติหดตัวไปกว่า 80%

ทั้งนี้หลังจากจีนประกาศเปิดประเทศ ทำให้เป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นตลาดอสังหาฯไทย ให้กลับมา แต่คาดว่าการที่จีนเปิดประเทศ ไม่ได้ทำให้ตลาดคอนโดฯกลับมาบูมเหมือนช่วงปี 60-62 เพราะที่ผ่านมาชาวจีนที่มีฐานะดี จะไปซื้ออสังหาริมทรัพย์แพงๆที่ประเทศสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และยุโรป ส่วนลูกค้าที่ซื้อคอนโดฯในไทย เพื่อเป็นบ้านหลังที่ 2 ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชนชั้นกลาง ซึ่งในช่วงโควิดลูกค้ากลุ่มนี้ก็ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากเลยทีเดียว

ขณะที่กลุ่มนักลงทุน คาดว่าหลังเปิดประเทศจะมีผู้ซื้อลงทุนแค่ 5% เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด ที่มีนักลงทุนจีนเข้ามาซื้ออสังหาฯไทยถึงกว่า 60% โดยปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนจีนถอดใจ มาจากผลตอบแทนที่น้อยกว่าคาดถึง 2-3%จากเป้าหมายที่ 6% และกำไรจาก Capital Gains ยังลดลงต่ำกว่าประมาณการณ์ที่ 7%

ช่วงปิดประเทศช็อคหนัก นักลงทุนจีนทิ้งดาวน์คอนโดฯไทย กว่า 25%

ย้อนไปถึงช่วงที่จีนปิดประเทศ ต้องยอมรับว่าถึงจุดหักเหของกลุ่มโควต้าต่างประเทศ เพราะจากข้อมูลของบริษัทฯ มีนักลงทุนจีนกว่า 25% ยอมทิ้งเงินดาวน์คอนโดฯ ราคามากกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไป หรือคิดเป็นประมาณ 750 ห้อง จากจำนวนขายทั้งหมด 3,000 ห้อง ส่วนหนึ่งเกิดจากสภาวะทางการเงิและความไม่สะดวกในการเดินทางมาโอนกรรมสิทธิ์  ส่วนคอนโดฯราคา 2-3 ล้านบาท ก็ยังมีการทยอยโอน และลูกค้าบางส่วนมีการขอเลื่อนโอน ซึ่งปัจจุบันก็เห็นว่ากลุ่มลูกค้าชาวจีนกว่า 15% จากจำนวนผู้ซื้อรวมมีการทยอยเข้ามาโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯในไทยมากขึ้น

เชื่อทุนสีเทาจีน ไม่กระทบภาพลักษณ์การซื้ออสังหาฯไทย

สำหรับกรณีทุนสีเทาของจีน ในมุมมองของเอเจนท์ Foreign Quota  เชื่อว่ากรณีนี้ไม่ได้มีผลกระทบต่อผู้ซื้อคนจีนมากนัก เพราะคนจีนส่วนใหญ่ไม่ชอบธุรกิจสีเทา และกลุ่มลูกค้าที่มาซื้ออสังหาฯในไทย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชนชั้นกลาง ซึ่งยังมีความต้องการบ้านหลังที่ 2 ในต่างประเทศ โดยไทยก็ยังเป็นหนึ่งในจุดมุ่งหมายที่คนจีนอยากมาอยู่อาศัย ซึ่งหลักๆ ยังเป็นทำเลเดิมที่คุ้นเคย ได้แก่ โซนสุขุมวิท ,สาทร ,สีลม ,รัชดาภิเษก ,พระราม9 ,รามคำแหง และเส้นศรีนครินทร์ (ที่อยู่ใกล้เมือง) โดยระดับราคาก็อยู่ที่ 5-7.5 ล้านบาท หรือประมาณ 1-1.5 ล้านหยวน และในต่างจังหวัดตามหัวเมืองท่องเที่ยว อาทิ เชียงใหม่, ชลบุรี, ภูเก็ต ราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปจะขายดี ส่วนตามแนวรถไฟฟ้าสายสีแดง ,สีชมพู หรือทำเลนนทบุรี ยอมรับว่ายังขายได้ช้าเพราะคนจีนไม่คุ้นเคยกับทำเล และไม่เข้าใจเส้นทางการเดินทางดีเท่าที่ควร

ภาพจาก freepik

คนจีน ชอบซื้อคอนโดฯพร้อมอยู่ แบบ 2 ห้องนอน  

สำหรับพฤติกรรมการซื้อของคนจีนตอนนี้เปลี่ยนไปมาก ซึ่งปัจจุบันคนจีนสนใจซื้อคอนโดฯสร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Ready to move in หรือ RTM) โดยกลุ่มที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง จะใส่ใจในเรื่องขนาดของห้องพักกับเรื่องโลเคชั่น เช่น ถ้าโครงการอยู่ไกลออกไปจะได้ห้องที่ใหญ่ขึ้น ,ฮวงจุ้ย หรือ ทิศทางที่เป็นมงคลและไม่ส่งผลต่อชีวิต ,สิ่งอำนวยความสะดวกที่สมบูรณ์ ,พัฒนาคุณภาพโครงการให้ดีต่อเนื่อง ,ลูกค้าเริ่มมองหาห้องชุดแบบ 2 ห้องนอน ต้องมี 2 ห้องน้ำ หรือมีขนาดเกินกว่า 50 ตร.ม.ขึ้นไป จนถึง 70 ตร.ม. ส่วนรูปแบบของห้องชุดต้องคำนึงถึงการใช้ประโยชน์สูงสุด และไม่ต้องการห้องชุดที่เป็นแบบห้อง 2 ชั้นเพดานสูง (Loft) เพราะผู้สูงอายุจะขึ้น-ลงลำบาก  ส่วนแบบ 1 ห้องนอนก็ยังได้รับความนิยมจากกลุ่มวัยรุ่นชาวจีนอยู่ต่อเนื่อง

ภาพจาก freepik

เสนอ “รัฐฯเพิ่มเที่ยวบิน – Dev. ลดราคา Over Priced” เชื่อช่วยหนุนท่องเที่ยว-อสังหาฯ ปี 66

อย่างไรก็ดีเชื่อว่าหลังจากจีนเปิดประเทศ อาจจะต้องใช้เวลา 1-2 ปี กว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ ซึ่งปัจจุบันเที่ยวบินตรงจากจีน มาถึงไทย มีเพียง 20-30% เท่านั้นซึ่งถือว่ายังน้อย และไม่เพียงพอต่อความต้องการเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด ดังนั้นอยากขอเสนอให้รัฐบาล มีการขอเพิ่มเที่ยวบินตรงจากจีนให้เข้ามาไทยมากขึ้น เพราะจะเป็นส่วนสำคัญที่นำให้คนจีนเข้ามาใช้จ่ายท่องเที่ยว และยังช่วยกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯควบคู่กันไปได้

ส่วนภาคธุรกิจอสังหาฯไทย มองว่าจำเป็นต้องปรับตัวให้ทัน โดยเฉพาะด้านราคา อยากฝากถึงผู้พัฒนาอสังหาฯไทย ขอให้ช่วยปรับราคาคอนโดฯกลุ่มโควต้าต่างประเทศไม่ให้ Over Priced เกิน 7% จากราคาผู้ซื้อคนไทย เพื่อกระตุ้นความน่าสนใจคอนโดฯไทยมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาผู้พัฒนาฯ มีการเสนอขาย Over Priced ถึง 20-30% ซึ่งหากราคายังสูงอย่างนี้เชื่อว่าจะมีผลต่อการตัดสินใจซื้อของกลุ่มชาวจีนมากขึ้น เพราะปัจจุบันลูกค้ามีการค้นหาข้อมูลผ่านโลกออนไลน์ได้ง่าย   

“แองเจิล เรียลเอสเตทฯ” ประกาศ Come Back กว้านซื้อคอนโดฯพร้อมอยู่ 20 โครงการ เตรียมกวาดยอดขาย 7,000 ล้าน

ด้านภาพรวมธุรกิจเอเจนท์ เชื่อว่าธุรกิจยังต้องใช้เวลากว่าจะปรับตัวเข้าสู่ภาวะเดิม และมีการแข่งขันน้อยเพราะปัจจุบันเอเจนท์ขนาดกลาง-ใหญ่ มีเพียง 3-4 ราย มูลค่าตลาดรวมราว 13,000 – 15,000 ล้านบาทต่อปี

ในปี 66 “แองเจิล เรียลเอสเตทฯ” เตรียมกลับมารุกในธุรกิจเอเจนท์อีกครั้ง โดยปีนี้มีการเตรียมซื้อคอนโดฯ 20 โครงการ ทั้งในกทม. และในเชียงใหม่ มูลค่ารวมกว่า 7,000 ล้านบาท เพื่อขยายพอร์ตให้มากขึ้นในปีนี้ พร้อมวางเป้ายอดขายปีนี้ประมาณ 7,000 ล้านบาท ยอดโอนได้ประมาณ 5,000 ล้านบาท เติบโตมากกว่า 10% ขึ้นอยู่ว่าจะเน้นการขายห้องชุดพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ (Ready to move in หรือ RTM) หรือขายแบบพรีเซล

โดยกลยุทธ์สำคัญในปีนี้ คือ การเข้าใจลูกค้า โดยคัดเลือกสินค้าที่มีคุณภาพดี จากพันธมิตรผู้พัฒนาอสังหาฯชั้นนำที่เชื่อถือได้  อาทิ แสนสิริ, ศุภาลัย, เสนา, ไซมิส, แลนด์แอนด์เฮ้าส์, อนันดา และอรสิริน เป็นต้น เพื่อส่งมอบสินค้าพร้อมพื้นที่ส่วนกลางที่เหมาะสมให้กับลูกค้ากลุ่มเรียลดีมานด์ได้ดี 

"จุดแข็งที่ลูกค้ายังเชื่อมั่นในแบรนด์แองเจิลฯ เพราะเรารับผิดชอบ ซึ่งเป็นแนวทางและนโยบายที่เราทำมาโดยตลอด ไม่ได้พึ่งมาทำวันนี้  ระยะเวลา 5- 10 ปี เราใส่ใจและติดต่อลูกค้าตลอดเวลา เวลาที่ลูกค้ามีปัญหา ทางทีมจะเข้าไปแก้ไขให้กับผู้ซื้อ เรามีระบบบริหารจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relationship Management หรือ CRM) และการใส่ใจต่อความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมองค์กร (Corporate Social Responsibility หรือ CSR) ที่ต่อเนื่อง ซึ่งเราสามารถอ้างอิงลูกค้าเก่า (Reference) ได้ แองเจิลฯไม่ได้หายไปไหน” นายไซม่อน ลี กล่าวทิ้งท้าย