สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เผย เศรษฐกิจไทยเดือนธันวาคม 64 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน การท่องเที่ยวภายในประเทศ-นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ การส่งออกสินค้าที่ขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่อง แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์ของโควิดโอไมครอน อย่างใกล้ชิด

 

         นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า สะท้อนจากปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ที่ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 16.6 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลร้อยละ 4.8

สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 46.2 จากระดับ 44.9  เป็นผลมาจากโควิดที่ปรับตัวดีขึ้น ทำให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น ประชาชนและภาคธุรกิจมีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น ส่วนการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ที่ขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 25.8 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลร้อยละ 8.8 อย่างไรก็ดีปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -29.1 และรายได้เกษตรกรที่แท้จริงลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -4.2

ทางด้านเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณนำเข้าสินค้าทุน ที่ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 1.5  ส่วนการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ หดตัวในอัตราชะลอลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -10.4 ต่อปี แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 1.7

            สำหรับการลงทุนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนเล็กน้อยที่ร้อยละ -0.2 แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ขณะที่ภาษีธุรกรรมอสังหาฯ ขยายตัวที่ร้อยละ 7.8 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 2.1

 

ขณะที่ มูลค่าการส่งออกสินค้า ขยายตัวต่อเนื่อง มูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ อยู่ที่ 24,930.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 24.2 หากไม่รวมน้ำมันและสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง ทองคำ และยุทธปัจจัย พบว่า ขยายตัวร้อยละ 23 โดยสินค้าที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่

1. สินค้าเกษตรและอาหาร โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ข้าว ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็ง แห้ง กระป๋องและแปรรูป และยางพารา ที่ขยายตัวร้อยละ 48.1 24.9 23.7 และ 22.7 ตามลำดับ

2. สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องโทรศัพท์และอุปกรณ์ เครื่องใช้ภายในบ้าน อาทิ เตาอบไมโครเวฟ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ และโทรทัศน์และส่วนประกอบ

3. สินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ และผลิตภัณฑ์เภสัชภัณฑ์ ที่ยังคงมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

4. สินค้าขั้นกลางหรือสินค้าวัตถุดิบ เช่น เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก แผงวงจรไฟฟ้า และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 

5. สินค้ารถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ยังคงขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 45

            โดยตลาดคู่ค้าหลักของไทยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในทุกตลาด โดยเฉพาะการส่งออกไปตลาดหลัก ได้แก่ ทวีปออสเตรเลีย สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ ที่ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 54.4 36.5 และ 35.0 ตามลำดับ

 

เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน ส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นโดยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 86.8 จากระดับ 85.4 ในเดือนก่อนหน้า ตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ หลังโควิดปรับตัวดีขึ้น รวมถึงภาคการส่งออกที่ขยายตัวต่อเนื่อง

สำหรับด้านบริการด้านการท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติประเภทพิเศษ นักท่องเที่ยวกลุ่มสิทธิพิเศษ (Thailand Privilege Card) นักธุรกิจ กลุ่มสุขภาพที่เข้ามารับบริการทางการแพทย์ในประเทศไทยรวม จำนวน 230,497 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 21 เดือน

            โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากเยอรมนี สหราชอาณาจักร รัสเซีย สหรัฐฯ และสวีเดน ได้ปัจจัยหนุนจากมาตรการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวจาก 63 ประเทศให้เข้ามาไทยได้โดยไม่ต้องกักตัว (Test and Go) เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวภายในประเทศ ที่ชาวไทยท่องเที่ยว จำนวน 15.95 ล้านคน หรือขยายตัวร้อยละ 4.7  นับเป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 6 เดือน

            ขณะที่ภาคเกษตร ขยายตัวร้อยละ 1.1 ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลร้อยละ -4.2 ตามการลดลงของผลผลิตสำคัญ อาทิ ข้าวเปลือก ข้าวโพด มันสำปะหลัง สุกร และไก่ อย่างไรก็ดี ผลผลิตอ้อยโรงงาน และปาล์มน้ำมัน ยังคงขยายตัว

            อย่างไรก็ดีเสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนธันวาคม 2564 อยู่ที่ร้อยละ 2.17 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.29 ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือน พ.ย. 2564 อยู่ที่ร้อยละ 59.6 ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561

            สำหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 64 อยู่ในระดับสูงที่ 246 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ