ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เผย ตลาดที่อยู่อาศัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บ้านจัดสรรยังน่าห่วง โดยมีมูลค่าหน่วยเหลือขายกว่า 4.3 หมื่นล้านบาท โดยภาพรวมตลาดอสังหาฯใน 5 จังหวัด คือ จ.นครราชสีมา, จ.ขอนแก่น, จ.อุดรธานี, จ.อุบลราชธานี และ จ.มหาสารคาม พบว่าตลาดยังคงชะลอตัวต่อเนื่องจากปี 63

      ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์  (REIC) กล่าวว่า  ได้ทำการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบด้วย จ.นครราชสีมา จ.ขอนแก่น จ.อุดรธานี จ.อุบลราชธานี และ จ.มหาสารคาม    โดยเป็นการสำรวจในช่วงครึ่งหลัง ปี 63 สำรวจโครงการบ้านจัดสรร และอาคารชุด ที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 หน่วย พบว่า มีจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างขาย ณ ครึ่งหลัง ปี 2563 ทั้งหมด 297 โครงการ จำนวน 13,500 หน่วย มูลค่ารวม 47,535 ล้านบาท จำแนกเป็น โครงการบ้านจัดสรร 250 โครงการ 10,620 หน่วย มูลค่า 40,361 ล้านบาท และโครงการอาคารชุด 47 โครงการ  2,880 หน่วย มูลค่า 7,174 ล้านบาท

            ในจำนวนนี้มีหน่วยเหลือขายจำนวน 12,365 หน่วย รวมมูลค่าหน่วยเหลือขาย 43,350 ล้านบาท  และในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 มีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่จำนวน 1,135 หน่วย รวมมูลค่า 3,585 ล้านบาท

 

โคราช” บ้านจัดสรร 3-5 ล้าน เหลือขายเกือบ 40%

            ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยระหว่างการขายในพื้นที่ จ.นครราชสีมา มีอัตราลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562  คิดเป็น 10.4% โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 6,161 หน่วย ในจำนวนนี้เป็นโครงการบ้านจัดสรร 4,480 หน่วย หรือ 72.7% เป็นโครงการอาคารชุด 1,681 หน่วย หรือ 27.3%  และเป็นโครงการเปิดขายใหม่ในครึ่งหลังปี 2563 เพียง 607 หน่วย มีอัตราลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 62 คิดเป็น ติดลบ53.0%  มีหน่วยขายได้ใหม่จำนวน 495 หน่วย ซึ่งการขายได้ใหม่นี้ มีอัตราลดลง ติดลบ 18.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

            โดยมีหน่วยเหลือขายสะสมจำนวน 5,666 หน่วย หรือลดลง 9.6%  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 62

            เมื่อจำแนกตามราคา พบว่า บ้านเหลือขายส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 3 - 5  ล้านบาท โดยมีจำนวน 2,191 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 38.7% ของหน่วยเหลือขายทั้งหมด ขณะที่บ้านราคา 2-3 ล้านบาท ยังเป็นบ้านขายใหม่มากที่สุด มีจำนวนทั้งสิ้น 234 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 47.3%

            สำหรับหน่วยเหลือขายในครึ่งหลัง ปี 63 ในจ.นครราชสีมา เป็นโครงการบ้านจัดสรรจำนวน 4,069 หน่วย จากจำนวนหน่วยเหลือขาย 5,666 หน่วย หรือคิดเป็น 71.8%  ของหน่วยเหลือขายทั้งหมดส่วนทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยปี 64 ของ จ.นครราชสีมา คาดว่า ภาพรวมตลาดยังคงชะลอตัวต่อเนื่องจากปี 63 ผลกระทบต่อเนื่องจากโควิด-19 ช่วงครึ่งแรกของปี 64 ทำให้ตลาดทั้งปี 64 มีภาวะชะลอตัวเช่นเดียวกับปี 63 และคาดการณ์ว่าช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ หน่วยเปิดใหม่จะต่ำกว่าครึ่งแรกของปี 63 คิดเป็น 24.7% ขณะที่ครึ่งปีหลังปี 64 คาดว่าหน่วยเปิดใหม่จะเพิ่มขึ้น 45.6%

            หน่วยขายได้ใหม่รวมปี 64 คาดว่าจะมีจำนวน 1,793 หน่วย มูลค่า 5,711 ล้านบาท มีหน่วยเหลือขาย ณ สิ้นปี 64 จะมีประมาณ 6,770 หน่วย มูลค่า 24,278 ล้านบาท และการโอนกรรมสิทธิ์ ในปี 64 คาดว่าจะมีจำนวนหน่วยประมาณ 6,141 หน่วย ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าคิดเป็น ติดลบ 26.6% และคาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 10,627 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 38.4%

 

 

ขอนแก่นซัพพลายใหม่เปิดตัวลดลง 45.1% -คาดยอดโอนมูลค่าติดลบ 34.3%

            สำหรับจ.ขอนแก่น ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยระหว่างการขายมีอัตราลดลงากช่วงเดียวกันของปี  62 คิดเป็น 1.4% โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 3,974 หน่วย ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการบ้านจัดสรร 3,270 หน่วย หรือ 82.3% เป็นโครงการอาคารชุด 704 หน่วย หรือ 17.7% และเป็นโครงการเปิดขายใหม่ในครึ่งหลังปี 63 เพียง 411 หน่วย มีอัตราลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 62  คิดเป็นติดลบ 45.1% มีหน่วยขายได้ใหม่จำนวน 346 หน่วย ซึ่งการขายได้ใหม่นี้มีอัตราลดลงถึงติดลบ 20.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีหน่วยเหลือขายสะสมจำนวน 3,628 หน่วย หรือเพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 62

            เมื่อจำแนกตามราคาพบว่า หน่วยเหลือขายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคา 3 – 5 ล้านบาท โดยมีจำนวน 1,393 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 38.4% ของหน่วยเหลือขายทั้งหมด ขณะที่หน่วยขายได้ใหม่มากที่สุดก็ยังคงอยู่ในช่วงราคา 2 – 3 ล้านบาท มีจำนวนทั้งสิ้น 127 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 36.7%

            ทั้งนี้หน่วยเหลือขายในครึ่งหลัง ปี 63 ใน จ.ขอนแก่น ส่วนใหญ่เป็นโครงการบ้านจัดสรร จำนวน 3,003 หน่วย จากจำนวนหน่วยเหลือขาย 3,628 หน่วย หรือคิดเป็น 82.8% ของหน่วยเหลือขายทั้งหมด

            สำหรับทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยใน จ.ขอนแก่น ปี 64 คาดว่าช่วงปีหลังหน่วยเปิดใหม่จะเพิ่มขึ้น 25.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยหน่วยเปิดใหม่รวม ปี 64 คาดว่าจะมีจำนวน 982 หน่วย มูลค่า 3,117 ล้านบาท

            ทั้งนี้คาดว่า ณ สิ้นปี 64 จะมีหน่วยเหลือขายประมาณ 3,573 หน่วย มูลค่า 12,062 ล้านบาท ส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ คาดว่าจะมีประมาณ 4,997 หน่วย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็น 20% และคาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 7,613 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า  34.3%

 

 

ครึ่งปีหลัง 64 “อุดร เตรียมเปิดโครงการใหม่เพิ่ม 87% สวนทางอุบลโครงการใหม่ลด 16%”

            ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยใน จ.อุดรธานี ปี 64 คาดว่าช่วงครึ่งปีหลัง 64 หน่วยเปิดใหม่จะเพิ่มขึ้น 87% โดยรวมปี 64 คาดว่าจะมีจำนวน 255 หน่วย มูลค่า 1,504 ล้านบาท และมีหน่วยเหลือขาย ณ สิ้นปี 64 จะมีประมาณ 1,753 หน่วย มูลค่า 6,936 ล้านบาท ด้านการโอนกรรมสิทธิ์ คาดว่าปี 64 จะมีจำนวนหน่วยประมาณ 2,855 หน่วย ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ติดลบ 8.2% และคาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 4,726 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 10.4%

            ส่วนทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยใน จ.อุบลราชธานี ปี 64 คาดการณ์ว่าช่วงครึ่งปีหลัง หน่วยเปิดใหม่จะลดลง 16.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้หน่วยเปิดใหม่รวมปี 64 คาดว่าจะมีจำนวน 270 หน่วย มูลค่า 868 ล้านบาท และในส่วนหน่วยขายได้ใหม่ ครึ่งปีหลังจะเพิ่มขึ้น 77.7%

            โดยหน่วยขายได้รวมปี 64 คาดว่าจะมีจำนวน 375 หน่วย มูลค่า 1,080 ล้านบาท มีหน่วยเหลือขาย ณ สิ้นปี 64 จะมีประมาณ 1,530 หน่วย มูลค่า 4,295 ล้านบาท ด้านการโอนกรรมสิทธิ์คาดว่าในปี 64 จะมีจำนวนหน่วยประมาณ 2,448 หน่วย ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า 30.5% และคาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 2,894 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 48.2%

            สำหรับทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยใน จ.มหาสารคาม ปี 64 ประมาณการณ์ช่วงครึ่งปีหลัง จะเพิ่มขึ้น 60.8% โดยหน่วยเปิดใหม่รวมปี 64 คาดว่าจะมีจำนวน 152 หน่วย มูลค่า 284 ล้านบาท ในส่วนหน่วยขายใหม่ครึ่งปีหลังจะเพิ่มขึ้น 97.4%  คาดหน่วยขายได้รวมปี 64 จะมีจำนวน 145 หน่วย มูลค่า 413 ล้านบาท หน่วยเหลือขาย ณ สิ้นปี 64 จะมีประมาณ 873 หน่วย มูลค่า 2,550 ล้านบาท

            ด้านการโอนกรรมสิทธิ์คาดว่าในปี 2564 จะมีจำนวนหน่วยประมาณ 1,210 หน่วย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 2.6%  และคาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 1,929 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 17.9%

 

 

ขอบคุณข้อมูล : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์  (REIC)