29 พ.ย. 2562 นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ประกาศกระทรวงพาณิชย์เรื่อง กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร จะมีผลใช้บังคับวันที่ 10 ธ.ค.2562 เป็นต้นไป โดยมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการนำเข้ารถยนต์ใช้แล้วหลายชนิด โดยรถยนต์นั่งใช้แล้วส่วนตัว ได้กำหนดชัดเจนว่าห้ามนำเข้า ทำให้ใบอนุญาตนำเข้ารถยนต์ใช้แล้วที่ออกตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของกฎหมายฉบับเดิม จะมีอายุไม่เกินวันที่ 9 ธ.ค.2562 ซึ่งผู้ได้รับใบอนุญาตแล้ว จะต้องนำเข้ารถยนต์ให้แล้วเสร็จภายในอายุใบอนุญาต

           “หากมีการนำเข้าหลังวันที่ 10 ธ.ค.2562 รถจะถูกยึดและทำลาย และยังต้องเสียค่าปรับ 5 เท่าของมูลค่ารถยนต์ใช้แล้ว จะไม่มีการนำมาเปิดประมูลแบบเดิมอีกต่อไป เพราะก่อนหน้านี้ กรมฯ ได้ให้ระยะเวลาในการปรับตัวมาแล้ว ไม่ใช่จะมาทำเอาช่วงนี้ แล้วมาเสี่ยงว่าจะทำไม่ทัน ซึ่งปกติ แต่ละปีจะมีการนำเข้ารถยนต์ใช้แล้วประมาณ 200 คัน แต่ช่วงนี้เพิ่มขึ้นมากเป็นประมาณ 300 คัน ซึ่งถือเป็นปกติ เพราะต่อไปจะไม่มีการอนุญาตให้นำเข้าแล้ว”นายกีรติกล่าว

           นายกีรติกล่าวว่า สำหรับการนำเข้ารถยนต์ลักษณะพิเศษใช้แล้ว เช่น รถหัวลาก รถเครนและปั่นจั่น และการนำเข้ารถยนต์ใช้แล้วที่ได้รับบริจาคของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์การสาธารณกุศล เช่น รถพยาบาลและรถดับเพลิง อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพาณิชย์ ยังคงสามารถขออนุญาตนำเข้าได้ ส่วนการนำเข้ารถยนต์ใช้แล้วประเภทอื่น เช่น รถยนต์ที่มีเอกสิทธิ์ทางการทูต รถยนต์ชั่วคราว รถยนต์ต้นแบบเพื่อวิจัยและทดสอบ รถยนต์เพื่อปรับสภาพแล้วส่งออก รถยนต์เพื่อจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ และรถยนต์ที่เป็นยุทธภัณฑ์ จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้ที่ต้องการนำเข้า จะต้องตรวจสอบให้ดีก่อนว่าต้องขออนุญาตจากหน่วยงานใด เพราะกรมฯ ได้มอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาออกใบอนุญาตแล้ว เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญมากกว่า

           อย่างไรก็ตาม กรณีการนำเข้ารถยนต์เพื่อปรับสภาพแล้วส่งออก ตั้งแต่วันที่ 10 ธ.ค.2562 เป็นต้นไป ผู้ประกอบอุตสาหกรรมปรับสภาพรถยนต์ หากประสงค์จะนำเข้ารถยนต์ใช้แล้วเพื่อปรับปรุงหรือซ่อมด้วยวิธีการใดๆ ให้มีสภาพใช้งานได้ในเขตประกอบการเสรี หรือเขตปลอดอากร แล้วส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของกรมศุลกากรและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ไม่ต้องมาติดต่อที่กรมฯ แล้ว

ขอบคุณข้อมูลจาก www.thaipost.net