13 ก.พ. 2562 นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)เปิดเผยว่า โครงการคลินิกแก้หนี้ ระยะที่ 2 จะขยายขอบเขตการให้บริการ โดยให้รวมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลของผู้ประกอบการนอนแบงก์ด้วย จากโครงการระยะที่ 1 ครอบคลุมเฉพาะหนี้ของธนาคารพาณิชย์เท่านั้น โดยการขยายขอบเขตดังกล่าวจะทำให้โครงการนี้มีความสามารถในการช่วยเหลือประชาชนได้กว้างขวางและเบ็ดเสร็จมากขึ้น เพราะหนี้ส่วนนี้มีสัดส่วนลูกหนี้กว่า 70% ของทั้งหมด โดยจากข้อมูลลูกหนี้ที่ติดต่อกับโครงการที่ผ่านมา พบว่า เป็นลูกหนี้ที่มีเจ้าหนี้นอนแบงก์รวมอยู่ด้วยจำนวนสูงพอสมควร

โดยขณะนี้ผู้ประกอบการนอนแบงก์อย่างน้อย 8 ราย เห็นถึงความสำคัญของโครงการที่จะช่วยแก้ปัญหาหนี้สินให้ประชาชน และแสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ 1. บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด 2. บริษัท ซิตี้คอร์ป ลิสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด 3. บริษัท เทสโก้ คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด 4. บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด 5. บริษัท พรอมิส (ประเทศไทย) จำกัด 6. บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด 7. บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) 8. บริษัท อีซี่ บาย จำกัด (มหาชน)

ทั้งนี้ คาดว่าลูกหนี้ของนอนแบงก์จะสามารถเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ได้ภายในไตรมาสที่ 2/2562 เนื่องจากต้องรอให้การแก้ไขกฎหมายเพื่อขยายขอบเขตให้บริษัทบริหารสินทรัพย์สามารถรับจ้างบริหารหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) ของนอนแบงก์ มีผลบังคับใช้ ซึ่งปัจจุบันผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แล้ว

นอกจากนี้ เพื่อให้การดำเนินการของโครงการมีประสิทธิภาพและสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ที่สุจริตและมีความตั้งใจให้แก้ไขปัญหาได้มากขึ้น จึงปรับปรุงหลักเกณฑ์เพิ่มเติมใน 2 ส่วนสำคัญ ได้แก่ 1. คุณสมบัติการเข้าโครงการที่เดิมต้องเป็นหนี้เสียก่อนวันที่1 เม.ย. 2561 ปรับเป็นต้องเป็นหนี้เสียก่อนวันที่ 1 ม.ค. 2562 และ 2. ปรับปรุงเกณฑ์การพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้และวิธีการชำระหนี้ ให้ยืดหยุ่น ง่ายและสอดคล้องกับสถานะลูกหนี้แต่ละรายได้มากขึ้นโดยเกณฑ์ใหม่จะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 14 ก.พ. 2562

“จุดเด่นของโครงการคลินิกแก้หนี้ นอกจากที่เป็นวัน สต็อป เซอร์วิสในการแก้ปัญหาหนี้ที่มีเจ้าหนี้หลายรายแล้ว อีกเรื่องที่สำคัญ คือ การให้โอกาสลูกหนี้ผ่อนชำระได้สูงสุดถึง 10 ปีซึ่งจะทำให้ภาระที่ต้องจ่ายต่อเดือนไม่มากจนเกินที่จะรับได้ และจากการสอบถามลูกหนี้ที่ติดต่อได้เบื้องต้น พบว่ามีลูกหนี้อย่างน้อย 300-400 ราย ซึ่งเดิมปรับโครงสร้างหนี้ไม่สำเร็จหรือไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ จะสามารถแก้ไขหนี้ได้สำเร็จเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ใหม่ หรือ เพิ่มขึ้นประมาณ 30% จากปัจจุบัน” นายจาตุรงค์ กล่าว

นายนิยต มาศะวิสุทธิ์กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) และนายสุรพลโอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จ ากัด (NCB) เปิดเผยว่า ทั้ง 2 หน่วยงานจะลงนามร่วมกัน โดย NCB จะยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจสอบรายงานข้อมูลเครดิต (รายงานเครดิตบูโร) สำหรับลูกหนี้ที่มาติดต่อและลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ผ่านช่องทางที่สำนักงานของ SAM เพื่อลดภาระของลูกหนี้ที่สมัครเข้าโครงการ (ปกติมีค่าใช้จ่าย 100 บาท) รวมทั้งจะร่วมกันปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบและส่งข้อมูล ซึ่งจะทำให้การปรับโครงสร้างหนี้เริ่มได้เร็วขึ้นและใช้เวลาโดยรวมสั้นลง

อย่างไรก็ดี ตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการคลินิกแก้หนี้ได้ให้คำปรึกษา แนวทางแก้ไขหนี้แก่ลูกหนี้แล้ว 33,900ราย และมีลูกหนี้ที่สามารถปรับโครงสร้างหนี้สำเร็จและลงนามสัญญาแล้ว 1,087 ราย

 

ขอบคุณข้อมูลจาก www.thaipost.net