นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ส.อ.ท.กำลังทำข้อเสนอต่อรัฐบาลใหม่ โดยจะขอให้พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้ง เร่งจัดตั้งรัฐบาลตามกำหนดในเดือน ส.ค. 2566  เพื่อไม่ให้ล่าช้าและเกิดสูญญากาศทางการเมือง ซึ่งหากล่าช้าจะมีผลต่อการเบิกจ่ายงบประมาณปี 66-67  ทั้งนี้หลังจัดตั้งรัฐบาลใหม่เรียบร้อย รัฐควรเร่งทำงบ ปี 68 ทันที เพื่อช่วยสร้างความเชื่อมั่น กระตุ้นเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดการแข่งขันของประเทศ พร้อมวอนให้คนไทยเกิดความสามัคคี ลดความขัดแย้งเพื่อให้ประเทศสามารถเดินหน้าต่อได้ ดันเศรษฐกิจเติบโต

ส่วนการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เห็นว่า ควรสนับสนุนการเพิ่มค่าแรงทักษะฝีมือมากกว่า การปรับขึ้นทั้งระบบ เพราะปัจจุบันต้องยอมรับว่าแรงงานขั้นต่ำส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างชาติ ซึ่งมีการส่งเงินออกนอกประเทศ ทั้งนี้หากขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทันทีก็จะกระทบโดยตรงต่อต้นทุนผู้ประกอบการของธุรกิจเอศเอ็มอี ส่วนภาคธุรกิจใหญ่อาจต้งหันมาใช้เทคโนโลยีจากหุ่นยนต์มากขึ้นเพื่อลดต้นทุนจากค่าแรง ซึ่งเหล่านี้ก็จะเป็นวงจรที่กระทบต่อเนื่องไป  

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนเมษายน 2566 พบว่า ค่าไฟฟ้า – และราคาน้ำมัน ยังเป็นปัจจัยฉุดความเชื่อมั่นด้านต้นทุนประกอบการให้อยู่ในระดับต่ำ ส่วนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว และการขยายตัวการบริโภคในประเทศ เป็นปัจจัยบวกส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในประเทศในปีนี้

โดยดัชนีในกลุ่มอุตสาหกรรมของ ส.อ.ท. อยู่ที่ระดับ 95.0 ปรับตัวลดลงจากระดับ 97.8 ในเดือนมีนาคม ปรับตัวลดลงครั้งแรกใน 4 เดือน โดยมีปัจจัยลบจากการชะลอตัวของภาคการผลิต ช่วงวันหยุดต่อเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ขณะที่อุปสงค์ต่างประเทศยังคงอ่อนแอ สะท้อนจากดัชนีคำสั่งซื้อและยอดขายต่างประเทศปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จากผลกระทบเศรษฐกิจโลกถดถอย

สำหรับดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 105.0 ปรับตัวลดลง จาก 106.3 ในเดือนมีนาคม เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูงจากอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าชะลอตัว ส่งผลลบต่อภาคการส่งออกของไทย ขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย -ยูเครน ที่ยังคงยืดเยื้อส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานและราคาวัตถุดิบในตลาดโลก ทำให้ต้นทุนการผลิตยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะค่าไฟฟ้า