6 มิ.ย. 2562 นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (เฟสโก) เปิดเผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน ประจำเดือน มิ.ย.62 พบว่า ความเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลง 16.56% อยู่ที่ระดับ 87.20 ปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และปรับลดลงต่ำสุดในรอบ 2 ปี นับตั้งแต่เดือน ส.ค.60 เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวล ปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ, สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ อาจส่งผลต่อการพิจารณางบประมาณภาครัฐปี 63 ล่าช้าออกไป แต่นักลงทุนบางส่วนยังมองว่าการเมืองและนโยบายภาครัฐที่ต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นการลงทุนได้

          “การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เชื่อว่าจะเป็นผลบวกต่อการลงทุนและผลไม่หนีจากที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่จะได้นายกรัฐมนตรีหน้าตาเดิม เพราะทิศทางการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เชื่อว่าจะจัดตั้งผ่านไปได้ด้วยดี เนื่องจากพรรคพลังประชารัฐสามารถรวมเสียงคะแนนได้เกินครึ่งแล้ว ซึ่งจะทำให้ครึ่งหลังของปี กระแสเงินทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นประมาณ 60,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยเดือนละ 10,000 ล้านบาท แต่ก็ขึ้นกับการบริหารเสียงในสภาของรัฐบาลด้วยว่าจะบริหารเสียงที่มีอยู่ 254 เสียง ผลักดันนโยบายเศรษฐกิจสำคัญได้หรือไม่”
อย่างไรก็ตาม อยากให้รัฐบาลใหม่ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภค เนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจไทยและการส่งออกชะลอตัว เพราะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ทำให้รัฐบาลใหม่ต้องเข้ามาดูแลและกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดแรงขับเคลื่อนต่อไป รวมทั้งสานต่อโครงการลงทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยเร็ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน

          น.ส.อริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย กล่าวถึงกรณีที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณจะดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายลง ประกอบกับการเมืองไทยมีความชัดเจน ทำให้กระแสเงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทยจำนวนมาก สะท้อนจากเดือน พ.ค.62 ที่ยอดขายสุทธิ 50,000 ล้านบาท เหลือขายสุทธิ  26,000 ล้านบาท ณ วันที่ 5 มิ.ย.62  

          “ส่วนผลสำรวจความคิดเห็นนักลงทุนถึงดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย เดือนมิ.ย.62 คาดว่าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสที่จะคงดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับ 1.75% ต่อไป โดยยังคงให้น้ำหนักกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทิศทางดอกเบี้ยในตลาดโลก และอัตราเงินเฟ้อ”

 

ขอบคุณข้อมูลจาก www.thaipost.net