TerraBKK Research อัพเดทผลประกอบการกลุ่มประกัน (Insurance) ประจำครึ่งปีแรกรวม 6 เดือนย้อนหลัง 5 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 จนถึง 2554 บริษัทเหล่านี้เป็นบริษัทที่มีการซื้อขายในตลาดรอง SET บริษัทไหนสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างโดดเด่น และมีแนวโน้มที่จะกลายมาเป็นบริษัทผู้นำในของกลุ่ม TerraBKK Research ได้รวบรวมเอาไว้ดังต่อไปนี้

จากการสำรวจผลประกอบการของ
กลุ่มประกัน” TerraBKK Research พบว่า บริษัทที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีที่สุดคือ บริษัทไทยรีประกันชีวิต และทิพยประกันภัย ส่วนบริษัท ศรีอยุธยา แคปปิตอล เป็นอีกบริษัทหนึ่งที่น่าสนใจแต่มีอัตรากำไรต่อหุ้นลดลงเล็กน้อย

รายได้ (Revenue) ในกลุ่มประกัน พบว่าบริษัทที่มีรายได้มากที่สุดในช่วงครึ่งปีแรก คือ บริษัทกรุงเทพประกันชีวิต ด้วยรายได้ที่ลดลงจากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 29,036 ล้านบาท ส่วนบริษัทที่เหลือมีรายได้ต่ำกว่า 7,000 ล้านบาท บริษัทที่มีแนวโน้มการเจริญเติบโตของรายได้โตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ได้แก่ กรุงเทพประกันภัย, สินมั่นคงประกันภัย, ไทยรับประกันภัยต่อ, สามัคคีประกันภัย, อินทรประกันภัย และจรัญประกันภัย ส่วนบริษัทที่มีการเติบโตของรายได้เมื่อเทียบกับปีที่แล้วมากที่สุด คือ อินทรประกันภัย (+47.62%) อันดับสองคือ ไทยรับประกันภัยต่อ (+17.76%) และสามคือ ทิพยประกันภัย (+17.45%)

อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อัตรากำไรสุทธิของกลุ่มประกันที่สูงที่สุด คือ บริษัทไทยรับประกันภัยต่อ (61.93%) สูงที่สุดในรอบ 5 ปี ส่วนบริษัทอื่นๆก็จะมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ระดับมากกว่า 10% บริษัทที่มีแนวโน้มของอัตรากำไรสุทธิเพิ่มสูงขึ้นตลอด 3 ปี จะเป็นบริษัทที่มีความน่าสนใจ บริษัทเหล่านั้นได้แก่ ไทยรับประกันภัยต่อ, จรัญประกันภัย, กรุงเทพประกันภัยและนำสินประกันภัย

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (Return on Asset) จะเป็นตัวที่แสดงถึงประสิทธิภาพของการใช้ทรัพยากรภายในองค์กรในการสร้างผลตอบแทนให้แก่กิจการว่ามีประสิทธิภาพมากน้อยขนาดไหน บริษัทที่มีอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์มากที่สุด คือ ไทยรีประกันชีวิต (24.48%) รองลงมา คือ ศรีอยุธยา แคปปิตอล (21.22%) และมีแนวโน้มของ ROA เพิ่มขึ้นต่อเนื่องติดต่อกัน 3 ปี อัตราผลตอบแทนจากผู้ถือหุ้น (Return on Equity) แสดงถึงศักยภาพในการทำกำไรของบริษัท กลุ่มประกันชีวิต ROE จะมีอัตราผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูงในระดับ 20-30% หลายบริษัท บริษัทที่มีศักยภาพในการทำกำไรสูงที่สุดคือ อินทรประกันภัยสูงถึง 36.09% สำหรับบริษัทที่มี ROE มากกว่าร้อยละ 17 ถือเป็นบริษัทที่มีศักยภาพน่าสนใจบริษัทเหล่านั้น ได้แก่ ไทยรีประกันชีวิต, ศรีอยุธยา แคปปิตอล, ทิพยประกันภัย, เมืองไทยประกันภัย และสินมั่นคงประกันภัย

อัตรากำไรต่อหุ้น (Earning per Share) การเติบโตของกำไรต่อหุ้นจะเป็นตัวบอกถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ว่าบริษัทสามารถสร้างกำไรส่วนเพิ่มให้แก่นักลงทุนต่อหนึ่งหน่วยลงทุนได้ดีมากน้อยขนาดไหนและเมื่อเราดูแนวโน้มอัตรากำไรต่อหุ้นประกอบทำให้เราสามารถเลือกบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตได้ดีมากขึ้น บริษัทที่มีอัตรากำไรต่อหุ้นเพิ่มมากกว่า 10% ได้แก่ ไทยรับประกันภัยต่อ (+470%), กรุงเทพประกันชีวิต (+47.12%), ทิพยประกันภัย (+15.86%) และกรุงเทพประกันภัย (+11.37%) ส่วนแนวโน้มอัตรากำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ได้แก่ ทิพยประกันภัย, นำสินประกันภัย และเมืองไทยประกันภัย

อัตราหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity) สัดส่วนของหนี้สินต่อทุนที่อยู่ในระดับปกติไม่ควรมีสัดส่วนของหนี้สินต่อส่วนของทุนมากกว่า 2 เท่าและถ้าจะให้ดีควรจะน้อยกว่า 1 เท่า ในอุตสาหกรรมนี้บริษัทส่วนใหญ่อัตราหนี้สินต่อทุนค่อนข้างสูง บริษัทที่มีอัตราหนี้สินต่อทุนน้อยกว่า 1 เท่า ได้แก่ กรุงเทพประกันภัย, ศรีอยุธยา แคปปิตอล, ไทยรีประกันภัย และจรัญประกันภัย

อัตรากำไรสุทธิ จะแสดงถึง ความสามารถในการทำกำไรสุทธิของบริษัท เป็นการวัดความสามารถของบริษัทในการควบคุมรายจ่ายทุกประการทั้งดอกเบี้ยและภาษีเมื่อเทียบกับยอดขาย หากอัตราส่วนนี้มีค่าสูงแสดงว่าบริษัทสามารถเปลี่ยนยอดขายให้เป็นกำไรสุทธิได้มาก

อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) แสดงถึง สัดส่วนของเงินทุนจากการกู้ยืมต่อเงินทุนจากเจ้าของธุรกิจถ้าอัตราส่วนนี้สูงแสดงว่าบริษัทมีการกู้ยืมเงินในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับเงินทุนจากผู้ถือหุ้นของบริษัท ทำให้มีความเสี่ยงในลักษณะเดียวกับอัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์

อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Asset:ROA) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมของบริษัท เป็นการวัดความสามารถในการนำสินทรัพย์ทั้งหมดของธุรกิจใช่ในการสร้างยอดขายและควบคุมค่าใช่จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมดสุทธิจากภาษีแต่ก่อนต้นทุนทางการเงิน (ดอกเบี้ยจ่ายสุทธิจากภาษีที่ประหยัดได้) อัตราส่วนที่สูงแสดงว่าบริษัทมีความสามารถสูงในการนำสินทรัพย์ไปสร้างกำไรจากการดำเนินงาน

อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรให้แก่เงินทุนของผู้ถือหุ้น หากค่าที่ได้จากการคำนวณสูงแสดงว่าผู้ถือหุ้นมีโอกาสได้รับเงินปันผลและผลตอบแทนที่สูง

บทความโดย : TerraBKK ข่าวอสังหาฯ แหล่งข้อมูล : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก