TerraBKK Research ได้รวบรวม 10 บริษัทโรงแรม ในกลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรม ประจำไตรมาส 1 ปี 2558 โดยได้นำ 10 บริษัทโรงแรมที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาเปรียบเทียบถึงศักยภาพของผลประกอบการ ว่าบริษัทใดในอุตสาหกรรมมีผลประกอบการโดดเด่นที่สุดและมีบริษัทใดมีแนวโน้มการเจริญเติบโตดีที่สุด หลังจากที่หลายบริษัทได้ประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส 1 ปี 2558 ครบทั้งหมดแล้ว(TerraBKK Research จะนำเสนอเฉพาะด้านผลประกอบการเท่านั้น)

หลังจาก TerraBKK Research ได้สำรวจผลประกอบการอุตสาหกรรมโรงแรมต้องบอกว่า ผลประกอบการกลุ่มโรงแรมมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นชัดเจนทั้งรายได้ กำไรขั้นต้น กำไรสุทธิ รวมถึงสภาพคล่องของบริษัทด้วย ส่วนบริษัทที่ทาง TerraBKK Research เห็นว่ามีการเติบโตแนวโน้มที่ดีจากการดูอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ ได้แก่ บริษัท Shangri-la, OHTL และ Asia Hotel เมื่อเรามองย้อนกลับไป 5 ปี จากความไม่แน่นอนทางการเมืองและปัญหาเศรษฐกิจจากทางฝั่งตะวันตกส่งผลต่อบรรยากาศการท่องเที่ยวส่งผลต่อภาคโรงแรม ทำให้ผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างผันผวนมาก มีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้

รายได้ (Revenue) ของกลุ่มโรงแรมในช่วงไตรมาสที่ผ่านมารายได้ของบริษัทส่วนใหญ่เติบโตเกือบทั้งหมด จากตัวเลขการท่องเที่ยวในปีนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นถึงแม้ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมาค่าเงินบาทจะดูแข็งค่าก็ตาม โดยไตรมาส 1 จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทำสถิติสูงสุดในช่วงที่ผ่านมาและเพิ่มสูงขึ้นจากปีที่แล้วถึง +23.54% (ที่มา : กระทรวงการท่องเที่ยว) ธุรกิจโรงแรมที่สามารถสร้างรายได้เติบโตต่อเนื่องตลอด 3 ปี คือ Central Plaza Hotel และ The Mandarin Hotel และบริษัทที่มีอัตราการเติบโตของรายได้มากที่สุด คือ The Mandarin Hotel (+64% QoQ), The Erawan Group (+44% QoQ) และ Shangri-la Hotel (+36% QoQ)

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อขยาย)

อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) บริษัทส่วนใหญ่มีผลประกอบการเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วค่อนข้างมากโดย Shangri-la, Royal Orchid, และ Grande Asset เป็น 3 บริษัทที่มีอัตรากำไรขั้นต้นมากกว่า 60% ส่วนบริษัทที่มีอัตรากำไรขั้นต้นเติบโตสูงที่สุดเห็นจะเป็น The Mandarin Hotel, Grande Hotel (+65% QoQ), The Erawan Group(+11% QoQ) และอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ของธุรกิจโรงแรมลดลงจาก Gross Profit ครึ่งต่อครึ่ง บริษัทที่สามารถรักษาอัตรากำไรสุทธิได้มากที่สุดคือ Shangri-laส่วน OHTL, Asia Hotelมีอัตราผลกำไรสุทธิเพิ่มสูงต่อเนื่อง และ Grande เป็นบริษัทเดียวที่ขาดทุน

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อขยาย)

อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (Return on Asset : ROA) บริษัทที่สามารถสร้างกำไรจากสินทรัพย์ที่มีอยู่ดีที่สุดคือ Shangri-la เพิ่มขึ้น 67.99% อันดับ 2 คือ OHTL แต่มีแนวโน้มผลตอบแทนจากสินทรัพย์ได้ลดลงอันดับ 3 คือ Central Plaza Hotel เมื่อสังเกตอัตราผลตอบแทนจากส่วนของทุน (Return on Equity : ROE) พบว่า OHTL สร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้เป็นอันดับ 1 แต่ลดต่ำลงจากปีที่แล้ว สำหรับบริษัทที่มี ROE โตมากกว่า 17% คือ The Mandarin Hotel (+86.64% QoQ), Shangri-la (+75.79% QoQ, Dusit Thani (+27.36% QoQ) และ Central Plaza Hotel (+17.86% QoQ) ตามลำดับ

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อขยาย)

กำไรต่อหุ้น (Earning per Share : EPS) กำไรต่อหุ้นของกลุ่มโรงแรมส่วนใหญ่โตขึ้น บางบริษัทโตที่สุดตลอด 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทที่มีอัตรากำไรสุทธิติดลบปีนี้คือ Laguna Resort & Hotels, Grande ส่วนบริษัทที่มีการเติบโตของอัตรากำไรต่อหุ้นมากที่สุด จัดลำดับได้ดังนี้ Royal Orchid (+4,600% QoQ), Dusit Thani (+207.89% QoQ), Shangri-la (+194.37% QoQ),The Mandarin Hotel (+122.22% QoQ), Central Plaza Hotel (+67.57% QoQ), Asia Hotel (+67.13% QoQ), OHTL (+48.38% QoQ) ตามลำดับ

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อขยาย)

อัตราหนี้สินต่อส่วนของทุน (Debt per Equity Ratio : D/E Ratio) บริษัทที่มีอัตราหนี้สินต่อทุนมากกว่า 2 เท่า มีเพียง The Erawan Groupเพียงเจ้าเดียว และบริษัทที่มี D/E Ratio ลดลงทุกปี ได้แก่ Central Plaza Hotel, Grande Asset, Dusit Thani, Shangri-la Hotel

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อขยาย)

อัตราส่วนเงินทุนหมุนเร็ว (Quick Ratio) จะเป็นตัวบอกถึงสินทรัพย์ที่เทียบเท่าเงินสดโดยไม่รวมสินค้าคงคลัง ทำให้เห็นสภาพคล่องที่แท้จริงของบริษัทมากขึ้นโดยอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนควรมีค่ามากกว่า 1 เท่า โดยบริษัทที่ Quick Ratio มากกว่า 1 เท่า ได้แก่ Shangri-la Hotelสูงถึง 7 เท่า สภาพคล่องถือว่าดีมากๆส่วนสภาพคล่องรองลงมา คือ OHTL และ TheMandarin Hotelตามลำดับ เมื่อดูแนวโน้มบริษัทที่เริ่มมีสภาพคล่องมากขึ้นตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ Shangri-la Hotel, Royal Orchid, The Erawan Group และ Grande Asset ส่วนสภาพคล่องลดลงตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ Laguna Resort แต่เมื่อดู Central Plaza Hotel สภาพคล่องต่ำมาก - เทอร์ร่า บีเคเค

(คลิ๊กที่ภาพเพื่อขยาย)

อัตรากำไรสุทธิ จะแสดงถึง ความสามารถในการทำกำไรสุทธิของบริษัท เป็นการวัดความสามารถของบริษัทในการควบคุมรายจ่ายทุกประการทั้งดอกเบี้ยและภาษีเมื่อเทียบกับยอดขาย หากอัตราส่วนนี้มีค่าสูงแสดงว่าบริษัทสามารถเปลี่ยนยอดขายให้เป็นกำไรสุทธิได้มาก

อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) แสดงถึง สัดส่วนของเงินทุนจากการกู้ยืมต่อเงินทุนจากเจ้าของธุรกิจถ้าอัตราส่วนนี้สูงแสดงว่าบริษัทมีการกู้ยืมเงินในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับเงินทุนจากผู้ถือหุ้นของบริษัท ทำให้มีความเสี่ยงในลักษณะเดียวกับอัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์

อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Asset:ROA) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมของบริษัท เป็นการวัดความสามารถในการนำสินทรัพย์ทั้งหมดของธุรกิจใช่ในการสร้างยอดขายและควบคุมค่าใช่จ่ายในการดำเนินงานทั้งหมดสุทธิจากภาษีแต่ก่อนต้นทุนทางการเงิน (ดอกเบี้ยจ่ายสุทธิจากภาษีที่ประหยัดได้) อัตราส่วนที่สูงแสดงว่าบริษัทมีความสามารถสูงในการนำสินทรัพย์ไปสร้างกำไรจากการดำเนินงาน

อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity : ROE) แสดงถึง ระดับผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรให้แก่เงินทุนของผู้ถือหุ้น หากค่าที่ได้จากการคำนวณสูงแสดงว่าผู้ถือหุ้นมีโอกาสได้รับเงินปันผลและผลตอบแทนที่สูง

บทความโดย : TerraBKK ข่าวอสังหาฯ TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก