"หากไม่มีเงินก้อนแต่ต้องการซื้อบ้านหรือทรัพย์สินชิ้นใหญ่ ซึ่งต้องมีการกู้ยืมจากธนาคาร นอกจากความพร้อมด้านเอกสาร ผู้ค้ำประกัน และรายได้แล้ว ทางธนาคารยังจะพิจารณาอนุมัติหรือไม่จากข้อมูลเครดิตอีกด้วย เราจึงได้เห็นหลายๆ คนที่เตรียมตัวมาดีทุกอย่าง แต่ทางธนาคารไม่อนุมัติสินเชื่อให้ เนื่องจากติดเครดิตบูโร"           ข้อมูลเครดิตที่ทางธนาคารใช้พิจารณาประกอบการอนุมัติสินเชื่อนี้ คือข้อมูลเกี่ยวกับผู้ขอสินเชื่อและบัตรเครดิตที่สถาบันการเงิน หรือบริษัทที่มิใช่สถาบันการเงินนำส่งให้แก่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (www.ncb.co.th) หรือที่เรียกกันว่าเครดิตบูโร ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการรวบรวมข้อมูลการใช้จ่ายแบบเครดิต หมายถึงการใช้สินเชื่อระเภทต่างๆ โดยมีข้อมูลย้อนหลังไม่เกิน 3 ปี สำหรับสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล และไม่เกิน 5 ปี สำหรับสินเชื่อประเภทอื่นๆ นับตั้งแต่ได้รับข้อมูลครั้งแรก โดยข้อมูลเครดิตบูโร จะจัดเก็บข้อมูลไว้ 2 ส่วนคือ ข้อมูลผู้ขอสินเชื่อหรือ ข้อมูลบ่งชี้ คือข้อมูลส่วนตัวต่างๆ ดังต่อไปนี้
  • ชื่อ-นามสกุล เลขที่บัตรประจำตัวประชาชน วันเดือนปีเกิด และข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ
  • ที่อยู่ที่ลูกค้าให้ไว้กับสถาบันการเงินที่ไปขอสินเชื่อ หากมีการแจ้งเปลี่ยนแปลงที่อยู่ ก็จะนำมาแสดงด้วย โดยแสดงที่อยู่ล่าสุด 3 อันดับแรก
  • สรุปข้อมูลบัญชีสินเชื่อ ซึ่งจะบอกว่าลูกค้ากู้เงินหรือมีสินเชื่ออยู่ทั้งหมดกี่บัญชี
ประวัติการขอสินเชื่อและการชำระหนี้ ซึ่งจะแสดงข้อมูลเป็นรายบัญชีที่ลูกค้ามีอยู่ตามเงื่อนไขต่างๆ ดังนี้
  • ข้อมูลจากสถาบันการเงินทั้งหมด ที่เคยใช้บริการ โดยมีรายละเอียดทั้ง ประเภทและเลขที่บัญชีของสินเชื่อ ชื่อสถาบันผู้ให้สินเชื่อ วงเงินที่ได้รับอนุมัติ และวงเงินที่ใช้ไป
  • สถานะของบัญชี เช่น ปกติ  ปิดบัญชี พักชำระหนี้ ค้างชำหนี้
  • รายละเอียดการชำระหนี้/ การค้างชำระ ซึ่งจะแสดงประวัติการชำระหนี้ที่ผ่านมา
  • การผิดนัดชำระหนี้ หรือชำระหนี้ล่าช้าย้อนหลังตามประเภทของสินเชื่อ ซึ่งอาจเป็น 3 ปี หรือ 5 ปี แล้วแต่ประเภทของสินเชื่อ
  • ข้อมูลอื่น ๆ เช่น วันที่ขอสินเชื่อ วันชำระหนี้ล่าสุด ผิดนัดชำระหนี้ ปิดบัญชี ปรับปรุงโครงสร้างหนี้
         หากทางสถาบันการเงินที่ผู้กู้ยื่นขอสินเชื่อ พบประวัติการผิดนัดชำระหนี้  การเป็นลูกหนี้ที่ไม่ดีของผู้กู้ก็จะถูกบันทึกไว้ในประวัติข้อมูล ที่เรารียกันว่า ติดเครดิตบูโร หรือติดหนี้บูโร เป็นเหตุให้ทางสถาบันการเงินที่ยื่นขอกู้ไว้ พิจารณาไม่อนุมัติสินเชื่อได้ เพราะข้อมูลเหล่านี้เป็นตัวบ่งชี้ถึงวินัยการใช้เงิน และวินัยในการเป็นลูกหนี้ของผู้กู้ได้เป็นอย่างดี หากประวัติเดิมไม่ดี ทางธนาคารก็มีความเสี่ยงที่จะถูกผิดนัดชำระหนี้หรือมีหนี้เสียได้ต่อไปในอนาคต          การขอดูข้อมูลเครดิตถือเป็นข้อมูลส่วนตัว ทางศูนย์ข้อมูลจะไม่เปิดเผยสู่สาธารณะเว้นแต่ 2 กรณีคือ สถาบันการเงินได้รับความยินยอมจากทางผู้ขอกู้หรือลูกค้า และตัวเจ้าของข้อมูลเอง ที่ต้องการทราบว่าตนเองมีประวัติการติดเครดิตบูโรหรือไม่ สำหรับเจ้าของข้อมูล สามารถขอดูข้อมูลเครดิตของตัวเองได้ที่ธนาคารกรุงไทย ทั้งที่ธนาคารและผ่านตู้ ATM และ ADM หรือศูนย์บริการตรวจสอบเครดิตบูโร ของศูนย์ข้อมูลเครดิตบูโรโดยตรง เอกสารที่ต้องเตรียมเพื่อขอตรวจสอบเครดิตบูโร (ข้อมูลจากบริษัทข้อมูลแครดิตแห่งชาติ) ณ ที่ทำการบริษัท  (ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร) มีขั้นตอนดังนี้  1. เจ้าของข้อมูลมาติดต่อด้วยตนเอง แสดงเอกสารหลักฐาน ดังนี้  กรณีบุคคลธรรมดา  • บัตรประจำตัวประชาชน หรือหนังสือเดินทาง หรือบัตรประจำตัวบุคคลต่างด้าวตัวจริงนำมาแสดง กรณีนิติบุคคล  • สำเนาหนังสือรับรองของนิติบุคคล ที่รับรองไว้ไม่เกิน 3 เดือน และลงนามรับรองความถูกต้องโดยกรรมการผู้มีอำนาจ • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาหนังสือเดินทางของกรรมการผู้มีอำนาจ และลงนามรับรองความถูกต้อง พร้อมตัวจริงนำมาแสดง • ตราประทับของนิติบุคคล (ถ้ามี) เพื่อใช้ประกอบการยื่นขอคำขอตรวจสอบข้อมูลเครดิต 2. เจ้าของข้อมูลมอบอำนาจให้บุคคลอื่นมาดำเนินการแทน แสดงเอกสารหลักฐาน ดังนี้  กรณีบุคคลธรรมดา  • หนังสือมอบอำนาจบุคคลธรรมดา กรอกรายละเอียดและลงนามให้สมบูรณ์ครบถ้วน • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบอำนาจ และลงนามรับรองความถูกต้อง พร้อมตัวจริงมาแสดง • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ และลงนามรับรองความถูกต้อง พร้อมตัวจริงมาแสดง กรณีนิติบุคคล  • หนังสือมอบอำนาจนิติบุคคล กรอกรายละเอียดและลงนามให้สมบูรณ์ครบถ้วน • สำเนาหนังสือรับรองของนิติบุคคล ที่รับรองไว้ไม้เกิน 3 เดือน และลงนามรับรองความถูกต้องโดยกรรมการผู้มีอำนาจประทับตราของนิติบุคคล (ถ้ามี) • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาหนังสือเดินทางของกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม และลงนามรับรองความถูกต้องพร้อมตัวจริงนำมาแสดง • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาหนังสือเดินทางของผู้รับมอบอำนาจ และลงนามรับรองความถูกต้อง พร้อมตัวจริงนำมาแสดง * ยื่นเอกสารในข้อ 1 และชำระค่าธรรมเนียมในการตรวจสอบข้อมูลเครติดต่อเจ้าหน้าที่ของบริษัท * เจ้าของข้อมูลสามารถขอรับรายงานภายในวันยื่นคำขอ หรือยื่นความจำนงให้จัดส่งรายงานทางไปรษณีย์ลงทะเบียน (กรณีให้จัดส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ฉบับละ 20 บาท)