พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น หรือ PRI เผยผลประกอบการไตรมาส 1/2566 เติบโตกว่า 132% กวาดรายได้ 396 ล้านบาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 98% ขานรับตลาดอสังหาฯฟื้น ดันทุกกลุ่มธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด ประกาศพร้อมเร่งเดินหน้าขยายธุรกิจบริการอสังหาฯ กลุ่มต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำต่อเนื่อง ผ่านการเติบโตเองและร่วมจับมือพันธมิตร มั่นใจรายได้ทั้งปี 1,300 ล้านบาทตามเป้า

นางสาวจตุพร วิไลแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีโม เซอร์วิส​ โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRI  ผู้นำธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์สมัยใหม่แบบครบวงจร เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2566 (1 ม.ค.-31 มี.ค.66) บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 396 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/ 2565 (%YoY) และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 98% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 (%YoY) โดยรายได้ในไตรมาส 1/2566 คิดเป็น 30% ของเป้ารายได้ทั้งปี 1,300 ล้านบาท

“รายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้นมาจากการขยายฐานธุรกิจอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 ถึงต้นปี 2565 หลายธุรกิจเริ่มเติบโตและมีรายได้อย่างเต็มที่หลังดำเนินธุรกิจมาได้ประมาณหนึ่งปีเต็ม ประกอบกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวจากการเปิดประเทศ นักท่องเที่ยวและนักลงทุนเดินทางสู่ประเทศไทยเพื่อท่องเที่ยวและทำธุรกิจเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีโครงการที่รับบริหารจัดการทั้งกลุ่มต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ เพิ่มขึ้นจาก 120 โครงการในช่วงไตรมาส 4/2565 เป็นมากกว่า 130 โครงการในช่วงสิ้นไตรมาส 1/2566” นางสาวจตุพร กล่าว

 

ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ให้แก่บริษัทสูงสุดในไตรมาส 1/2566 เป็นกลุ่มธุรกิจปลายน้ำ-บริการหลังการขายที่อยู่อาศัย (Living & Earning Services) โดยมีรายได้จากกลุ่มธุรกิจดังกล่าว 225 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ 57% ของรายได้รวม และคิดเป็นอัตราการเติบโตสูงถึง 223% จากไตรมาส 1/2565 โดยเป็นรายได้ที่จากการให้บริการออกแบบและตกแต่งเพิ่มมากขึ้น ทั้งภายในพื้นที่ส่วนกลางโครงการอสังหาริมทรัพย์และภายในพื้นที่พักอาศัย รวมถึงมีรายได้ใหม่ๆ จากจำนวนลูกค้าธุรกิจบริการทำความสะอาดเพิ่มขึ้น

สำหรับกลุ่มธุรกิจกลางน้ำ  บริการการจัดการเพื่อการอยู่อาศัย (Living Services) มีรายได้อยู่ที่ 121 ล้านบาท เติบโต 59.5% เป็นผลมาจากจำนวนโครงการที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้บริษัทมีรายได้จากการให้บริการบริหารนิติบุคคลอาคารชุด หมู่บ้านจัดสรร และ Residential Property เพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกัน ขณะเดียวกัน ธุรกิจบริการนายหน้าอสังหาริมทรัพย์และบริการจัดหาผู้ร่วมทุน (JV) ก็มีรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการฟื้นตัวภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

ขณะที่ กลุ่มธุรกิจต้นน้ำ – บริการก่อนเข้าอยู่อาศัย (Pre-Living Services) มีรายได้ 49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 101% จากช่วงเดียวกันของปี 2565 เนื่องจากเริ่มมีรายได้จากธุรกิจบริการออกแบบสถาปัตยกรรม งานวิศวกรรมโครงสร้าง และวิศวกรรมระบบประกอบอาคาร มีฐานลูกค้าโครงการในธุรกิจที่ปรึกษาการบริการและควบคุมงานก่อสร้างเพิ่มขึ้น รวมถึงมีคอร์สฝึกอบรมใหม่ๆ ภายใต้ UPM Academy ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น

 

นางสาวจตุพร กล่าวอีกว่า สำหรับในไตรมาส 2/2566 บริษัทยังคงเดินหน้าขยายอาณาจักร Super Living Service ต่อเนื่อง ทั้งการสร้างการเติบโตด้วยตัวเอง (Organic Growth) และการเติบโตทางลัด (Inorganic Growth) ผ่านการจับมือร่วมทุนกับพันธมิตร (Joint Venture) กับผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจนั้น ตลอดจนการพิจารณาซื้อกิจการ (M&A) เพื่อขยายขอบเขตธุรกิจบริการใหม่ๆ ให้ครบวงจรมากขึ้น ทั้งกลุ่มต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ในหลากหลายมิติ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ปัจจุบัน ยังคงหาพันธมิตรที่จะเข้ามาเสริมศักยภาพในการให้บริการเกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ที่จะนำไปสู่การเป็นผู้นำในตลาดการให้บริการเกี่ยวเนื่องกับอสังหาฯ

“เราจะมีทั้งการบริการในเซ็กเมนต์ใหม่ ธุรกิจใหม่ ตลอดจนการทยอยบุกตลาดต่างจังหวัดตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2/2566 เราจึงเชื่อมั่นว่ารายได้ปี 2566 จะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ 1,300 ล้านบาท ซึ่งเติบโตจากปี 2565 ถึงราว 42% โดยจำนวนโครงการที่เข้าไปบริหารนิติบุคคลและโครงการที่เข้าไปบริหารงานขายรวมกันจะเป็นไปตามเป้า 150 โครงการอย่างแน่นอน” นางสาวจตุพร กล่าว