นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2566 ยังมีความเสี่ยงจากเงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยขาขึ้น และเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยที่จะส่งผลกระทบในวงกว้างและอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพสินเชื่อ  ทำให้ปีนี้กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร จึงวางแผนธุรกิจเติบโตแบบระมัดระวัง โดยตั้งเป้าสินเชื่อรวมไว้ที่ 13% โดยจะเน้นขยายฐานลูกค้าที่มีศักยภาพและผลักดันการเข้าถึงที่ครอบคลุมยิ่งขึ้นผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการออมและการลงทุนของกลุ่มธุรกิจฯ ทั้ง  Edge (เอดจ์) และ Dime (ไดม์) ซึ่งปัจจุบันแอปพลิเคชัน Dime มีผู้ดาวน์โหลดแล้วกว่า 100,000 ราย

สำหรับผลประกอบการในปี 65 มีกำไรสุทธิ 7,602 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.3% จากปีก่อน โดยส่วนใหญ่มาจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ที่สินเชื่อรวมขยายตัวถึง 21.4% ส่วนธุรกิจการจัดการกองทุนก็มีรายได้เพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจการลงทุนยังคงเติบโตได้ดีจากฝ่ายค้าหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ที่ทำกำไรได้ดีในสภาวะผันผวน ด้านวานิชธนกิจมีรายได้ในระดับที่ดีจากธุรกรรมที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 65 และธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคล (Wealth Management) ปัจจุบันมีปริมาณทรัพย์สินภายใต้คำแนะนำ (AUA) อยู่กว่า 7 แสนล้านบาท

ทั้งนี้จากภาวะเศรษฐกิจยังมีความเสี่ยง ทำให้แผนธุรกิจในปีนี้ยังคงเป็นการเติบโตแบบมีกลยุทธ์ (Smart Growth) หรือการเลือกขยายสินเชื่อในกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพและสินเชื่อที่มีหลักประกัน เช่น สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อบ้าน และการเดินหน้าเจาะตลาด “รถเรียกเงิน” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ของธนาคาร

 

นายปรีชา เตชรุ่งชัยกุล ประธานสายการเงินและงบประมาณ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 65 ในส่วนของการตั้งสำรองยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับปี 64 โดยมีอัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ที่ 154.4% ซึ่งธนาคารมีรายได้เพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิรวมถึงรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 19,081 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 21.5% ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 8,457 ล้านบาท ลดลง 1.0% จากปี 64 และธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio)คำนวณตามเกณฑ์ Basel III ซึ่งรวมกำไรถึงสิ้นปี 65 อยู่ที่ 16.26% และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 จะเท่ากับ 12.88%

ทางด้าน ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า KKP Research ได้ปรับคาดการณ์ GDP ไทยปีนี้จาก 2.8% เป็น 3.6% จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวและการกลับมาของคนจีน แต่คาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปีนี้อาจไม่ทั่วถึง จากเม็ดเงินของการท่องเที่ยวที่อาจกระจุกตัวอยู่ในบางจังหวัดเท่านั้น ด้านการส่งออกคาดว่าครึ่งปีแรกจะหดตัว สอดคล้องกับภาวะที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง และอาจกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังหากเศรษฐกิจจีนกลับมาฟื้นตัว