SC Asset นำร่องบริหารกระบวนการก่อสร้างบ้านอย่างจริงจัง ตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำ ภายใต้เป้าหมายสำคัญ SCero Mission เพื่อลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases) ลง 20% ภายในปี 2025 โดยจับมือกับบริษัทชั้นนำด้านอุตสหกรรมเหล็ก ทาทา สตีล (ประเทศไทย) พันธมิตรทางธุรกิจร่วมพัฒนาแนวคิด Low Carbon Community อย่างมุ่งมั่นและใส่ใจในด้านอุตสาหกรรมก่อสร้างอย่างยั่งยืน

บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC องค์กรที่เติบโตควบคู่กับความใส่ใจสิ่งแวดล้อม ที่มุ่งมั่นสู่ผู้นำแบรนด์บ้านเดี่ยวอันดับ 1 โดยนายปภาณเดช พชรชานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านสนับสนุนโครงการ บมจ. เอสซี      แอสเสท คอร์ปอเรชั่น พร้อมกับผู้บริหาร จับมือกับ นายชัยเฉลิม บุญญาณุวัตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่การตลาดและการขาย บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้นำอันดับ 1 ในการผลิตเหล็กเส้นในประเทศไทย ร่วมส่งเสริมความยั่งยืนและใส่ใจสิ่งแวดล้อม ตามแนวคิด Low Carbon Community ด้วยการมุ่งบริหารจัดการเหล็กเส้นที่เป็นวัสดุสำคัญในขบวนการก่อสร้างบ้าน ซึ่งจะเริ่มที่โครงการระดับลักซ์ชัวรี่ 3 แห่ง ได้แก่ โครงการแกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ดอีสต์ พระราม 9, เดอะ เจนทริ พัฒนาการ 2 และ เดอะ เจนทริ คัลทิวาร์ พระราม 9

นายปภาณเดช กล่าวว่า “นับเป็นมิติใหม่ ของอุตสาหกรรมก่อสร้างในไทย โดยเอสซี แอสเสทฯ ได้ร่วมกับทาทา สตีล ปรับกระบวนการสำหรับบริการที่สอดคล้องกับรูปแบบการก่อสร้างโครงการบ้านเดี่ยว ตามแนวคิดบริการตัดและดัดขึ้นรูปเหล็กเส้นตามรายการเหล็กจากโรงงาน หรือที่เรียกว่า บริการเหล็กเส้นขึ้นรูป (Cut and Bend) ซึ่งมักเป็นที่นิยมอย่างมากในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่

แนวคิดดังกล่าวนี้ได้ถูกนำมาบริหารจัดการเริ่มจากต้นน้ำของกระบวนการสร้างบ้าน โดยจะช่วยลดวัสดุเหลือทิ้งหน้างานก่อสร้างลง ซึ่งเป็นปัจจัยลำคัญต่อการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเพิ่มความสะดวกในการบริหารจัดการ ทำให้การก่อสร้างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

สำหรับวัสดุก่อสร้างที่เลือกใช้ คือ “ทาทา ทิสคอน” (TATA TISCON) จาก ทาทา สตีล (ประเทศไทย) แบรนด์เหล็กเส้นอันดับ 1 ซึ่งผลิตในประเทศไทยและมีขั้นตอนการผลิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

นายชัยเฉลิม กล่าวว่า  “ทาทา สตีล ตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ จึงได้มุ่งพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในด้านสิ่งแวดล้อมอย่างบริการเหล็กเส้นขึ้นรูป(Cut and Bend) ซึ่งช่วยเรื่องการลดเศษเหล็กเหลือทิ้งหน้างาน อีกทั้งกระบวนการผลิตเหล็กในทุกขั้นตอนเป็น Green Process โดยใช้เทคโนโลยีการหลอมแบบ Electric Arc Furnace (EF) ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีการรีไซเคิลเหล็กที่ดีที่สุดในปัจจุบัน ทั้งในด้านการใช้พลังงานและเชื้อเพลิงน้อยกว่า มีปริมาณการปล่อยก๊าซ CO2 Emission ที่ต่ำ ตลอดจนมีการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้คุ้มค่าอยู่เสมอ ได้แก่ การใช้น้ำหมุนเวียน การปลูกต้นไม้ทดแทน, พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) เป็นต้น  นอกจากนี้ กระบวนการหลอมด้วยเทคโนโลยี EF นี้ เป็นเทคโนโลยีที่สามารถควบคุมคุณภาพได้อย่างแม่นยำ จึงมั่นใจได้ว่าคุณภาพสินค้าของทาทา ทิสคอน สม่ำเสมอตลอดทั้งเส้นและได้มาตรฐานเท่ากันทุกรอบการผลิต ทุกงานโครงสร้างจึงมีความปลอดภัยแข็งแรง"

ภายใต้ความสำเร็จของความร่วมมือระหว่าง เอสซี แอสเสทฯ กับ ทาทา สตีล (ประเทศไทย) ตามแนวคิด Low Carbon Community สรุปดังนี้คือ

  1. การส่งเสริมคุณภาพงาน มีความเป็นระบบมากขึ้น เนื่องจากมีการตัดและดัดเหล็กได้มาตรฐานงานก่อสร้างจากโรงงานซึ่งมีการควบคุมการผลิตเป็นอย่างดี ทำให้งานรวดเร็วมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  2. สามารถลดปริมาณการสั่งเหล็กเส้นที่ใช้ในโครงการได้มากกว่า 15%
  3. ช่วยลดวัสดุเหลือทิ้งบริเวณหน้างานก่อสร้าง โดยจะลดขั้นตอนกระบวนการที่ต้องกำจัดเศษวัสดุ
  4. ลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงจากการขนส่ง เนื่องจากจำนวนปริมาณเหล็กที่ส่งมีจำนวนลดลง ยังลดเรื่องการขนเศษเหล็กไปทิ้ง โดยเฉลี่ยสามารถประหยัดการใช้น้ำมันได้กว่า 19 ลิตร ต่อการสร้างบ้าน 1 หลัง
  5. ลดกระบวนการตัดดัดเหล็ก และ ลดชั่วโมงการก่อสร้างลงกว่า 120 ชั่วโมง/หลัง ซึ่งเป็นการช่วยลดการเกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ฝุ่น มลพิษ และเสียงดังรบกวน เป็นต้น

 

นายปภาณเดช กล่าวสรุปว่า “ในฐานะเอสซี แอสเสทฯ เป็นองค์กรที่เติบโตควบคู่กับความใส่ใจสิ่งแวดล้อม เราจึงมีแผนงานบริหารจัดการครอบคลุมเป้าหมาย SCero Mission ตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำ รวมถึงมีแผนการนำแนวทางที่ร่วมกับทาทา สตีล ไปพัฒนายังโครงการบ้านอีกกว่า 20 โครงการ มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ในปี 2023 ทั้งนี้เพื่อช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกอย่างยั่งยืนต่อไป”