นายศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า ใน 3-5 ปี บริษัทมีแผนการลงทุนผ่านการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ทั้งการขยายสินค้ากลุ่มเคมีก่อสร้างให้ครอบคลุมมากขึ้น ใช้ Enterprise Resource Planning หรือ ERP พัฒนาระบบการจัดการตั้งแต่การผลิต จัดส่ง และเชื่อมต่อการชำระเงิน รองรับการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย สอดคล้องกับธุรกิจยุคใหม่ ผนวกกับ Customer Data / Digital Transformation เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำมากขึ้น รวดเร็วขึ้น ในรูปแบบของ B2B2C  เสริมด้วย Non Products เช่น บริการติดตั้ง โดยช่างฝีมือที่ได้รับการรับรองจากศูนย์ฝึกอบรม จระเข้ อะคาเดมี่ (JORAKAY ACADEMY TRAINING CENTER) เป็นการต่อยอดบริการให้คำปรึกษาและบริการเกี่ยวเนื่องกับการอยู่อาศัยอย่างครบวงจร  เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดกาวซีเมนต์และกาวยาแนวปูกระเบื้อง และไม่หยุดยั้งในการพัฒนานวัตกรรมเคมีก่อสร้าง

พร้อมเตรียมเดินหน้าขยายไปยังตลาดต่างประเทศจะมุ่งไปในกลุ่มประเทศ CLMV โดยเฉพาะเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีการใชเซรามิกมากกว่าไทยถึง 3 เท่าตัว โดยจะมีการนำสินค้าเรือธง อาทิ กาว, ยาแนว, กันซึมเข้าไปบุกตลาด ผ่านการปรับรูปแบบสินค้าและบริการให้รองรับกับความต้องการของลูกค้าเวียดนามได้ตรงจุดมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มสัดส่วนยอดขายตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นได้ เป็น 20% จากปัจจุบันมียอดขายในต่างประเทศ 10% โดยลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในลาว และเมียร์มาร์

สำหรับเป้าหมายยอดขายในประเทศปีนี้ คาดว่าจะเติบโตได้ถึง 20% จากปี 64 ที่มียอดขายราว 2,800 ล้านบาท โดยมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้านวัตกรรมเพื่องานก่อสร้าง ซ่อมแซม และตกแต่งแบบครบวงจร งานโครงสร้างพื้นฐาน รองรับการก่อสร้างระบบคมนาคมเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงการต่อยอดนวัตกรรมใหม่มุ่งตอบโจทย์สุขภาวะที่ดีในการอยู่อาศัย เช่น ลดความเสี่ยงเชื้อโรค  ลดสารประกอบอินทรีย์วัตถุระเหยง่าย (VOCs)  เป็นต้น

ปัจจุบันสินค้าที่มียอดขายสูงสุดกว่า 80% ของยอดขายทั้งหมด ได้แก่ กลุ่มกาวซีเมนต์ เขียว แดง เงิน ทอง โดยเฉพาะกาวเขียวที่มียอดขายอันดับ 1 ในตลาดต่อเนื่อง กลุ่มกาวยาแนวพรีเมียม พลัส ป้องกันราดำ ที่มียอดขายอันดับ 1 ในตลาด มีช่องทางในการจัดจำหน่าย แบ่งเป็นออฟไลน์ 95% ส่วนออนไลน์อยู่ที่ 5%  และมีจำนวนผู้แทนจำหน่ายรวมกว่า 3,000 รายทั่วประเทศซึ่งจะขยายเพิ่มขึ้น ซึ่งหลังจากนี้ภายใน 5 ปี เชื่อว่าการพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์และการดำเนินแผนธุรกิจที่ครอบคลุม จะสามารถสร้างยอดขายได้ ราว 5,000 ล้านบาท

สำหรับภาพรวมตลาดสินค้าวัสดุก่อสร้าง ในปีนี้ด้วยสภาพเศรษฐกิจ ส่งผลต่อต้นทุนวัตถุดิบและการผลิตมากขึ้น ทำให้สินค้าในกลุ่มวัสดุก่อสร้างมีการปรับขึ้นราคาประมาณ 10% ส่วนในปี 66 บริษัทจะยังคงประคับประคองต้นทุนการผลิตไว้เพื่อรักษาระดับราคาสินค้าไว้