บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงแรมและการลงทุนชั้นนำในเครือบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เผยการฟื้นฟูของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯ เตรียมก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงแรมที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของไทย โดยตั้งเป้าผลประกอบการเติบโตสูงสุดในปีนี้ ทุบสถิติโกยรายได้สูงสุด 8.5 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 2 เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อน  ที่ทำรายได้อยู่ที่ 4.5 พันล้านบาท พร้อมนโยบายด้านการบริหารจัดการและการลงทุนโรงแรมแบบกระจายความเสี่ยง ตลอดจนการยกระดับการบริการเพื่อสอดคล้องต่อความต้องการสูงสุดของนักท่องเที่ยว การเพิ่มช่องทางการจองที่พักโรงแรมโดยตรง 

นายเดิร์ก เดอ คุยเปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความต้องการที่ ‘อั้น’ ไว้ตลอดช่วงโควิดกระตุ้นให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว โดยการท่องเที่ยวในหลายส่วนของโลกกำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าธุรกิจโรงแรมจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง รวมถึงโรงแรมของ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ที่ตั้งอยู่ในจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงสุดทั้ง 5 แห่งทั่วโลก โดยคาดว่าโรงแรมในสหราชอาณาจักรจะสร้างรายได้เป็นสัดส่วนของรายได้รวมทั้งหมด 44% และสาธารณรัฐมัลดีฟส์ 28%

ทั้งนี้ในสหราชอาณาจักร คาดว่ารายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนจะฟื้นตัวกลับมาเท่ากับปี 62 ซึ่งเป็นช่วงก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 จากความนิยมในการการจัดงานอีเว้นท์ต่าง ๆ ของอุตสาหกรรมไมซ์ ซึ่งกว่า 50% จะเป็นการจัดงานแบบพบปะกันของผู้เข้าร่วมงานที่โรงแรม อาจเอื้อให้ RevPAR สามารถเพิ่มขึ้นอีกจนกลับไปใกล้เคียงกับช่วงก่อนการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร

 

ส่วนโรงแรมในสาธารณรัฐมัลดีฟส์คาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งเช่นกัน จากนักท่องเที่ยวที่ทยอยเดินทางท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลกระทบจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศที่กำลังเกิดขึ้นเป็นไปอย่างจำกัด ดังจะเห็นได้จากนักท่องเที่ยวที่มาเยือนในห้วงเวลาดังกล่าวมีจำนวนทั้งสิ้น 168,491 คน ซึ่งมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปี 2563 และ 2564 เกินกว่า 45% จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจากประเทศทางแถบยุโรปและตะวันออกกลาง 

             นอกจากนี้ รัฐบาลของสาธารณรัฐมัลดีฟส์ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวในปี 2565 ประมาณ 1.6 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับปีผ่านมา ส่วนการท่องเที่ยวในประเทศอื่น ได้แก่ สาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ สาธารณรัฐมอริเซียส และประเทศไทย จะยังสามารถเติบโตต่อไป เพราะรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ เริ่มออกมาตรการผ่อนปรนด้านการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวภายหลังการแพร่ระบาด จึงทำให้เรามั่นใจว่าเราจะได้รับอานิสงส์จาก “มาโครเทรนด์” (macro trends) อย่างมหาศาล จากจำนวนของแขกผู้เข้าพักในโรงแรมของเรากลับมาใช้บริการซ้ำโดยเฉลี่ย 30%

 

 

อย่างไรก็ดีการนำเสนอประสบการณ์การท่องเที่ยวอันน่าประทับใจช่วยสร้างอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืน (ADR) เพิ่มขึ้น 20-25% ในปี 65 นอกจากนี้การจัดแพ็กเกจที่พักสุดพิเศษพร้อมด้วยกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวที่ไม่เหมือนใคร เช่น การมีศูนย์การเรียนรู้ทางทะเล หรือ Marine Discovery Centre ที่ ทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ (SAii Phi Phi Island Village) หรือ ศูนย์การเรียนรู้วัฒนธรรมมัลดีฟส์ (Maldives Discovery Centre) ที่ โครงการ ครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์ (CROSSROADS Maldives) ยังสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบความทันสมัย และหลงใหลในความงดงามของธรรมชาติแวดล้อมของสถานที่ท่องเที่ยวให้ใช้จ่ายเพิ่มได้ถึง 15% โดยคาดว่าปัจจัยดังกล่าวจะช่วยสร้างรายได้เฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 20-25% ให้กับโรงแรมในปีนี้

            ทั้งนี้บริษัทฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงโรงแรม 3 แห่งเพื่อให้ได้มาตรฐานและมีภาพลักษณ์สอดคล้องกับการเปลี่ยนเป็นแบรนด์ SAii ซึ่งเป็นแบรนด์ที่บริษัทฯ สร้างขึ้น และเป็นแพลตฟอร์มโรงแรมที่บริษัทฯ บริหารจัดการเอง (Self-Managed Platform) การใช้แบรนด์ SAii จะเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายขายและฝ่ายการตลาดได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการปรับลุคในครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถช่วยกระตุ้นอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืนในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2563

 

งัดกลยุทธ์จองที่พักโดยตรง และการพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับการจองที่พักโดยตรงด้วยตนเอง จะสามารถดันรายได้โตต่อเนื่อง เพื่อสร้างความความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ต่างๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ ในปีที่แล้วรายได้จากช่องทางจองที่พักโดยตรงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากแพลตฟอร์มสำหรับการจองห้องพักของบริษัทฯถูกปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ทำให้การจองห้องพักเป็นไปอย่างง่ายดายและรวดเร็ว สร้างประสบการณ์แบบไร้รอยต่อให้กับแขกผู้เข้าพัก ในปีนี้บริษัทฯคาดว่ารายได้จากช่องทางดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นจาก 10% ในปีก่อน ๆ โดยเฉลี่ย เป็น 30% ของรายได้รวมทั้งหมด

 

ชัดเจน มั่นใจโต 3 เท่า รั้งตำแหน่งผู้นำตลาด

สำหรับแผนการเติบโตบริษัทฯ ยังได้มีการวางแผนการลงทุน 3 ปี และวางงบการลงทุนกว่า 7.3 พันล้านบาท เพื่อขยายการลงทุนสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และวางงบกว่า 2.8 พันล้านบาทเพื่อเสริมแกร่งกลยุทธ์หมุนเวียนและต่อยอดการลงทุน ตลอดจนการลงทุนในการก่อสร้าง SO/Maldives ซึ่งมีแผนเปิดตัวโครงการในปี 2566 นอกจากนี้ยังวางงบลงทุนเพื่อซื้อและควบรวมกิจการ เพิ่มเติมอีก 4.5 พันล้านบาท

โดยในอีก 3 ปีข้างหน้า มุ่งเดินหน้าพัฒนาและขยายธุรกิจในทุกรูปแบบเพื่อทำให้บริษัทฯ เติบโตต่อไปในอนาคตหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 เริ่มคลี่คลาย โดยยังคงรักษาพอร์ตโรงแรมของเราให้อยู่ในระดับสมดุลอยู่เสมอ ปลดล็อคทรัพย์สินที่เต็มมูลค่าแล้วเพื่อปรับปรุงทรัพย์สินในพอร์ตที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเราได้เริ่มดำเนินการปรับพอร์ตโรงแรมในสหราชอาณาจักรเป็นพอรต์แรก

ส่วนแผนการลงทุนใหม่ เตรียมขยายธุรกิจผ่านการซื้อและควบรวมกิจการ โดยกำลังมองหาโรงแรมในแถบชายฝั่งทะเลเอเชียและแปซิฟิก ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และมหาสมุทรอินเดีย โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 4.5 พันล้านบาท และมุ่งมั่นสู่การเป็นผู้ประกอบการและบริหารธุรกิจโรงแรมภายใต้แบรนด์ของเราเอง รวมทั้งจับมือกับพันธมิตรผู้ประกอบการโรงแรมชั้นนำระดับนานาชาติเพื่อขยายธุรกิจ ดังนั้นเราจึงเชื่อมั่นว่าบริษัทฯ จะสามารถเติบโตเป็น 3 เท่าภายในปี 2567 อย่างแน่นอน