“PACO” โกอินเตอร์ บุกมาเลเซีย คว้างานรับจ้างผลิตแอร์รถยนต์ ยักษ์ใหญ่วงการรถยนต์ ดันธุรกิจใหม่ OES เติบโตแรง รับรู้รายได้ทันทีไตรมาส 2 นี้ มั่นใจผลงานปีนี้โตแรง 25%

PACO บมจ. เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ บุกตลาดมาเลเซีย ขยายธุรกิจใหม่รับจ้างผลิตอะไหล่ (OES) อย่างหรู เซ็นต์รับงานจากกลุ่มตันจง ยักษ์ใหญ่วงการรถยนต์ของมาเลเซีย คาดได้ยอดขายโตต่อเนื่องเพราะดูแลรถหลายแบรนด์ หลายประเภท ตั้งแต่ รถยนต์ รถกระบะ รถบรรทุก รถหัวลาก

นายสมชาย เลิศขจรกิตติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ PACO เปิดเผยว่า PACO ได้รับงานใหม่จาก บริษัท ตันจง อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป ผู้ประกอบรถยนต์รายใหญ่ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นงานผลิตแอร์รถยนต์แบบครบวงจร เพื่อนําไปรองรับการซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่รถยนต์ตามศูนย์บริการรถยนต์ (Original Equipment Spare Parts) หรือ OES ในออเดอร์ครั้งนี้ คาดว่าจะส่งผลให้หนุนยอดการผลิตเพิ่มมากขึ้น และรายได้ธุรกิจ OES จะเติบโตขึ้นกว่า 50 % สำหรับการผลิตสินค้าให้กับกลุ่ม OES คาดจะการเติบโตเพิ่มขึ้น ตามความต้องการซ่อมบำรุงรถยนต์ตามศูนย์บริการรถยนต์ทั่วประเทศ ทั้งนี้คาดจะเห็นความชัดเจนประมาณไตรมาส 1/2565 และเริ่มรับรู้รายได้เข้าตั้งแต่ไตรมาส 2/2565 เป็นต้นไป โดย PACO คาดว่าปี 2565 รายได้รวมจะเติบโตต่อเนื่องประมาณ 25%

PACO มุ่งเน้นเพิ่มรายได้จากธุรกิจหลัก คือ อะไหล่เครื่องปรับอากาศ (Spare Part) รถยนต์รุ่นต่างๆ เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปทวีปต่างๆทั่วโลก บริษัทฯ ยังตั้งเป้าขยายตลาดในประเทศอย่างต่อเนื่อง ด้วยแผนการขยายเครือข่ายร้านอะไหล่แอร์รถยนต์ครบวงจร ภายใต้แบรนด์ PACO Auto Hub ได้ถึง 300 สาขาภายในปีนี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดขาย ตลอดจนสร้างแบรนด์ PACO ให้เป็นที่ รู้จักในกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ในประเทศ และเสริมความแข็งแกร่งด้านช่องทางการจำหน่ายสินค้า อีกทั้งบริษัทมีแผนเปิดตัวสินค้าใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง อาทิ หม้อน้ำรถยนต์ คอมเพรสเซอร์แอร์รถยนต์ อะไหล่ช่วงล่างรถยนต์ ออยล์คูลเลอร์ ไดชาร์จ และไดสตาร์ท เป็นต้น รวมไปถึงขยายไลน์แอร์รถยนต์ในกลุ่มรถหรู (Luxury Cars) ส่วนของตลาดส่งออก PACO คาดว่าจะเติบโตได้ดี ตามตลาดรถยนต์ทั่วโลกที่ฟื้นตัวดี จากการเปิดเมือง ของสหรัฐอเมริกา และทวีปยุโรป โดยตลาดส่งออกหลักของบริษัทฯ คือประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง มีเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจากราคาน้ำมันในตลาดโลก ที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าปีนี้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ จะเติบโตได้ตามเป้าหมาย”

ทั้งนี้ เมื่อช่วงปลายปี 2564 ที่ผ่านมา PACO ประสบความสำเร็จในการขยายสู่ธุรกิจใหม่อย่างเต็มตัวได้รับ งานรับจ้างผลิตชิ้นส่วนให้ผู้ผลิตรถยนต์ (OEM Market) ซึ่งลูกค้าใหญ่รายแรกคือ กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่มุ่งเน้นรถยนต์ไฟฟ้า ประเภท รถยนต์ EV และ Plug-in Hybrid ซึ่งเป็นเทรนด์ใหม่ของโลกที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นๆอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง PACO ได้รับออเดอร์มูลค่าถึง 1,200 ล้านบาท ทำให้มีรายได้ที่มั่นคงรองรับกว่า 5 ปี สำหรับธุรกิจ OEM และ รองรับรายได้ 10 ปีสำหรับธุรกิจรับจ้างผลิตอะไหล่ (OES) ยิ่งกว่านั้น บริษัทฯ ได้รับการติดต่อจากผู้ผลิตหลายแห่ง เพื่อนำเสนองานรับจ้างผลิตชิ้นส่วนแอร์รถยนต์และชิ้นส่วนอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯมองเห็นศักยภาพการเติบโตของธุรกิจ OEM ที่ชัดเจน มีโอกาสเติบโตสูง เนื่องจากอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัวอีกครั้งจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก อีกทั้งการทยอยเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ จำนวนมากของค่ายรถยนต์เข้าสู่ตลาด และPACO มีไลน์การผลิต อุปกรณ์เครื่องจักรมาตรฐานสากล พร้อมผลิตสินค้าให้ลูกค้าได้ทันทีโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม อีกทั้งมีคู่แข่งน้อยรายในธุรกิจ จึงเชื่อมั่นว่า PACO มีโอกาสรับงานรับจ้างผลิต OEM ได้อีกจำนวนมาก

ในปี 2565 นี้ PACO จะรุกธุรกิจ OES มากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของตลาดและกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย นอกจากการขายสินค้าให้กับลูกค้าที่มีออเดอร์เข้ามาแล้ว บริษัทจะขยายตลาดไปสู่ต่างประเทศ ซึ่งมองโอกาสที่จะเริ่มขยายเข้าไปที่มาเลเซีย รวมไปถึงครอบคลุมกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในทวีปเอเชีย อเมริกาเหนือ ยุโรป อเมริกาใต้ และออสเตรเลีย

สำหรับ ตลาดยานยนต์ไฟฟ้า (EV) PACO ได้ผลิต แบตเตอรี่คูลเลอร์ ซึ่งเป็น 1 ในชิ้นส่วนสำคัญสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV และ PHEV (Plug-in Hybrid) ซึ่งขณะนี้ PACO ได้ผลิต แบตเตอรี่คูลเลอร์ สำหรับ Tesla ซึ่งเป็น แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลก สำหรับรุ่น Tesla Model X และ Tesla 3 ตลอดจน รถยนต์ Plug-in Hybrid แบรนด์ BMW Series 3 และ Series 5 รุ่นปัจจุบัน (G20 และ G30) ซึ่งได้รับความนิยมสูงทั่วโลก โดย PACO เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ทดแทนรายแรกของไทย ที่เริ่มเปิดตลาดแบตเตอรี่คูลเลอร์ ทั้งตลาดส่งออกและตลาดในประเทศ จากการที่ภาครัฐได้เตรียมออกมาตรการกระตุ้นตลาดรถยนต์ไฟฟ้า เชื่อว่าจะเข้ามาช่วยหนุนให้อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยกลับมาดีขึ้น รวมถึงหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลายลง จะช่วยส่งผลให้อุตสาหกรรมยานยนต์กลับมาฟื้นตัวทั่วโลก บริษัทฯ ยังคงที่จะมุ่งพัฒนาและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่หลากหลาย” นายสมชายกล่าวปิดท้าย