ภายใต้คาดการณ์ว่า "โควิด 19" จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งปัจจุบันโควิด ก็ยังมีผลต่อการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมถึงการปรับตัวสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ พร้อมกับสถานการณ์เงินเฟ้อที่อาจจะยาวนานกว่าคาด ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุนในปี 2565  

นายวิน พรหมแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองเจาะลึกการบริหารพอร์ตการลงทุนในปี 2565 ไว้ 4 ธีมหลัก ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์และแนวโน้มการลงทุนโลก สะท้อนสถานการณ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งทางกรุงศรีได้ร่วมทำงานอย่างใกล้ชิดกับ BlackRock พันธมิตรระดับโลก ฉายภาพการลงทุนในปี 2565 ให้ชัดเจน เพื่อช่วยให้นักลงทุนเข้าใจและวางแผนการลงทุนได้อย่างเหมาะสม

Theme 1: Living with COVID (and inflation)  

              BlackRock ได้วิเคราะห์ให้เห็นว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในครั้งนี้เกิดขึ้นพร้อมกับเงินเฟ้อที่สูงมาก อย่างเช่นในสหรัฐฯ อัตราเงินเฟ้อสูงสุดในรอบเกือบ 40 ปี ซึ่งมาจากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องราคาพลังงาน ราคาสินค้า Supply Chain Disruptions

            แต่คาดว่าเงินเฟ้อจะเป็นปัจจัยลบมากกับพอร์ตการลงทุนเฉพาะในช่วงไตรมาส 1 ของปีนี้เท่านั้น และจะคลี่คลายลงได้ในไตรมาส 2-4 ต่อไป จาก 3 ปัจจัย คือ ตัวเลขเงินเฟ้อไตรมาส 1 ของปีนี้เป็นตัวเลขสูงจากฐานที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า, ราคาน้ำมันน่าจะลดลงในไตรมาส 2-4 มีการคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบในปีนี้จะลดลงได้ถึง 70 ดอลลาร์/บาร์เรล เมื่อราคาน้ำมันดิบลดลงจะส่งผลให้เงินเฟ้อผ่อนคลายลง และ Supply Chain Disruptions ได้ผ่านจุดพีคไปแล้วเมื่อช่วงปลายปี 2564 ดังนั้นหลังจากนี้น่าจะค่อยๆ คลี่คลายลงเช่นกัน

            ในภาพรวม BlackRock และกรุงศรีแนะนำนักลงทุนให้ Underweight หลีกเลี่ยงการลงทุนในตราสารหนี้ หรือหากต้องการลงทุนควรเน้นตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อเลี่ยงความผันผวนของตลาดตราสารหนี้

          ซึ่งนักลงทุนอาจจะต้องเจอเป็นเซอร์ไพร์ส (Positive surprise) ในปี 2565 คือ Fed ไม่ได้เร่งทำนโยบายที่ตึงตัวตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยอาจจะปรับดอกเบี้ยช้าหรือน้อยครั้งกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ดังนั้นในฝั่งหุ้น กรุงศรีแนะนำว่าควรเลือกหุ้น Quality เนื่องจากมีความผันผวนน้อยกว่า ท่ามกลางสถานการณ์ความวุ่นวายของตลาด เช่น กองทุน KFGBRAND ที่เน้นการลงทุนในสินค้าแบรนด์อุปโภคบริโภคชั้นนำ และหุ้น Growth ที่เดิมเคยโดนเทขายจำนวนมาก อีกไม่นานอาจจะกลับมาได้จาก Positive surprise ซึ่งต้องจับตาดูอาจจะมีจังหวะที่นักลงทุนสามารถกลับมาซื้อหุ้นกลุ่ม Growth และกลุ่ม Tech ได้ เป็น Watch list ที่ทางกรุงศรี อยากแนะนำให้นักลงทุนรอจังหวะเพื่อการลงทุน

 

Theme 2: เศรษฐกิจฟื้นไม่พร้อมกัน การเติบโตที่ไม่เท่ากัน (Uneven recovery and policy divergence)

         นโยบายทางเศรษฐกิจของหลายภูมิภาคทั่วโลกเริ่มมีความแตกต่างกัน ก่อให้เกิดความกังวลและสับสนกับนักลงทุนว่าควรจัดการการลงทุนของตนเองอย่างไร  โดย วิจัยกรุงศรี คาดการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2565 จะเติบโตอยู่ที่ 4.9% ขณะที่ GDP ของสหรัฐฯและยุโรปในปีนี้จะเติบโตอยู่ที่ 4-5% สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี  ส่วน GDP ของจีนในปีนี้คาดว่าจะเติบโตอยู่ที่ 5% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่จีนเคยทำได้ย้อนหลัง 10 ปี

          สะท้อนว่าในปีนี้เศรษฐกิจทางฝั่งสหรัฐฯและยุโรปมีการฟื้นตัวดีมาก เติบโตมากกว่าที่เคยโตเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นสหรัฐฯและยุโรปจึงต้องดำเนินนโยบายที่ลดทอนความร้อนแรงของเศรษฐกิจ ด้วยนโยบาย Quantitative Tightening: QT และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่จีนเป็นสถานการณ์เศรษฐกิจที่ตรงกันข้าม จีนเติบโตช้ากว่าที่เคย ทำให้การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของจีนในปีนี้จะต้องหันมากระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น สวนทางกับฝั่งตะวันตกที่เน้นนโยบายลดทอนความร้อนแรงของเศรษฐกิจ กรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ มองว่า สิ่งนี้มีผลดีต่อตลาดหุ้นจีน ทำให้ตลาดหุ้นจีนมีความน่าสนใจในปีนี้ หลังจากรับรู้ข่าวร้ายไปหมดแล้วในช่วงก่อนหน้า

 

Theme 3: ESG การลงทุนที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

          "Bloomberg" คาดการณ์ไว้ว่าภาพรวมสินทรัพย์ ESG อยู่ที่ระดับประมาณ 35 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2564 ที่ผ่านมา และคาดว่าภายในปี 2568 จะเติบโตขึ้น อยู่ที่ 50 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของสินทรัพย์การลงทุนทั่วโลก ซึ่งรวมทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์อื่นๆ สะท้อนให้เห็นว่าการลงทุนใน ESG ไม่ใช่แค่หุ้น แต่มีกระจายไปยังสินทรัพย์อื่นๆ ด้วย

            การลงทุนใน ESG Asset ได้รับปัจจัยหนุนทั้ง Fund Flow จากนักลงทุน ดีมานด์ในฝั่งภาครัฐและภาคธุรกิจที่ทุกคนต้องร่วมมือกัน กรุงศรี เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า สิ่งนี้ไม่ใช่เพียงกระแสระยะสั้น แต่เป็นเทรนด์และดีมานด์การลงทุนที่แท้จริง ซึ่งกรุงศรีและ BlackRock ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เช่นกัน

            โดยข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยระบุว่า หุ้นกลุ่มนี้มีผลดีต่อการลงทุนมากกว่าหุ้นทั่วไป โดยหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่อยู่ในดัชนี Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 5 ปีดีกว่าหุ้น SET100 ประมาณ 10% นอกจากเป็นหุ้นที่ดีแล้ว ยังสร้างผลงานที่ดีกว่าด้วย

 

Theme 4: สินทรัพย์นอกตลาด (Private Asset for peace of mind)

            จากข้อมูลพบว่าทั้งอสังหาริมทรัพย์นอกตลาดและหุ้นนอกตลาดต่างมีความผันผวนน้อยกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว หมายความว่าการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ที่ช่วยลดความผันผวนในต่างประเทศได้เช่นกัน

            ปัจจุบันนักลงทุนไทยมีโอกาสเข้าถึงสินทรัพย์ในกลุ่มนี้ได้มากขึ้น จากในอดีตที่จำกัดการลงทุนเฉพาะกลุ่มนักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่ โดยมาในรูปแบบของกองทุนรวมสำหรับนักลงทุนรายใหญ่ ขนาดของเงินลงทุนครั้งละ 500,000 – 1,000,000 บาท

            แนะนำว่านักลงทุนควรถือสินทรัพย์กลุ่มนี้อย่างน้อย 5 ปี เพื่อตักตวงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการลงทุนให้นานที่สุด เหมาะกับนักลงทุนที่มีเงินเย็น ยอมรับความเสี่ยงได้ โดยสินทรัพย์กลุ่มนี้เหมาะกับคนที่ต้องการแบ่งพอร์ตส่วนหนึ่งไว้เพื่อความสบายใจ หรือ Peace of Mind เนื่องจากต้องการให้พอร์ตการลงทุนส่วนหนึ่งมีความผันผวนน้อย แต่ต้องถือสินทรัพย์ชนิดนี้ค่อนข้างนาน