PPS โชว์ผลประกอบการไตรมาส 2/64 พลิกกำไรโต 129.92 % เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รายได้ 92.21 ล้านบาท ทิศทางธุรกิจ ไตรมาส 3/64 แนวโน้มดี ทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าประมูลงานภาครัฐ-เอกชน หนุน Backlog 454.5 ล้านบาท

ดร.พงศ์ธร ธาราไชย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (PPS) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/2564 บริษัทมีรายได้รวม 92.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 85.94 ล้านบาท จำนวน 6.27 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7.29% และมีกำไรสุทธิ 3.80 ล้านบาท พลิกกลับจากผลขาดทุนในช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 12.70 ล้านบาท จำนวน 16.5 ล้านบาท เป็นการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 129.92%

ขณะที่ ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2564 บริษัทมีรายได้รวม 176.01 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 191.84 ล้านบาท จำนวน 15.83 ล้านบาท หรือลดลง 8.25% และมีผลขาดทุนสุทธิ 1.38 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 21.34 ล้านบาท จำนวน19.96 ล้านบาท หรือลดลง 93.53%

ทั้งนี้ ผลประกอบการไตรมาส 2/64 ปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งรายได้และกำไร เนื่องจากรับรู้รายได้จากโครงการภาครัฐขนาดใหญ่ และโครงการเอกชนที่บริษัทได้รับงานมากกว่าในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งมีการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้นายประสงค์ ธาราไชย กลับมาดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารอีกครั้ง


ดร.พงศ์ธร ธาราไชย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (PPS)

สำหรับทิศทางธุรกิจไตรมาส 3/64 มีแนวโน้มเติบโตในเกณฑ์ดี โดยจะทยอยรับรู้รายได้จากโครงการภาครัฐและเอกชนที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 โครงการทางวิ่งเส้นที่ 3 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อาคารสำนักงาน 2 ท่าอากาศยานดอนเมือง บ้านพักพนักงานท่าอากาศยานภูเก็ต โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการ โซนซี โครงการกรมโยธาธิการ โครงการจากกลุ่มโลตัส โครงการ The Custom House โครงการ Emsphere และโครงการ Holiday Inn Express Samui Bophut & Holiday Inn Resort Samui Bophut

ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างเตรียมเสนองานภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง โดยมีงานในมือ(Backlog) ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 454.5 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้ในปีนี้ประมาณ 146 ล้านบาท และยังมีงานที่อยู่ในระหว่างรอเซ็นสัญญาโครงการอีกจำนวน 95 ล้านบาท คาดว่าสถานการณ์โควิด-19 จะส่งผลต่อภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ต่อเนื่อง จากภาคเอกชนที่ชะลอการลงทุน

อย่างไรก็ตาม บริษัทติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด โดยในช่วงครึ่งปีหลังอยู่ระหว่างเจราจาเรื่องการต่อสัญญาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และเตรียมยื่นประมูลงานโครงการมิกซ์ยูส งานโรงพยาบาล ซึ่งบริษัทคาดว่าจะสามารถรับงานได้ตามแผนที่วางไว้ นอกจากนี้ แม้ว่ากทม.จะมีประกาศปิดสถานที่ก่อสร้าง แต่โครงการส่วนใหญ่ของบริษัทยังสามารถดำเนินการต่อไปได้ จากความร่วมมือกับผู้รับเหมาก่อสร้างในการจัดทำมาตรการป้องกันควบคุมโรคในพื้นที่เฉพาะ (Bubble and Seal) เพื่อป้องกันการระบาดในแรงงานก่อสร้าง เพื่อจัดพื้นที่ในการทำงานรวมถึงแคมป์งานก่อสร้าง ภายใต้หลักเกณฑ์ และแนวทางตามที่กระทรวงสาธารณสุขหรือทางราชการกำหนด” ดร.พงศ์ธร กล่าว