บมจ. โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) ประกาศ ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนปี 2564 กวาดรายได้รวม 4,915 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% YoY และกำไรสุทธิโต 10% YoY อยู่ที่ 786 ล้านบาท หลังยอดขายพุ่งแตะ 4,265 ล้านบาท พร้อมแจกข่าวดีจ่อปันผลระหว่างกาล 0.35 บาทต่อหุ้น เตรียม XD 24 สิงหาคม 2564 นี้ เดินเกมรุกบุกพัฒนาโครงการแนวราบต่อเนื่อง หวังกระจายพอร์ตสินค้า-สร้างการรับรู้ที่เร็วขึ้น ย้ำสภาพคล่องล้นเหลือจากเงินสดในมือและวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกกว่า 6,100 ล้านบาท หนุนแผนลงทุนในและต่างประเทศฉลุย

นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัทโนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการที่อยู่อาศัยในทำเลชั้นนำของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จจากการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกสิ้นสุด ณ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมเท่ากับ 4,915 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% YoY และกำไรสุทธิเท่ากับ 786 ล้านบาท เติบโตขึ้น 10% YoY จากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดและโครงการบ้านที่ก่อสร้างแล้วเสร็จจากลูกค้าคนไทยและต่างประเทศ รวมถึงเป็นผลจากการโอนยอดขายรอโอน (Backlog) และจากยอดขาย (Pre-sales) โครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Ready to move) เช่น โครงการนิว โนเบิล แจ้งวัฒนะ โครงการโนเบิล บี33 สุขุมวิท โครงการโนเบิล เพลินจิต โครงการโนเบิล บี19 สุขุมวิท โครงการโนเบิล อราวน์ สุขุมวิท 33 โครงการโนเบิล แอมเบียนส์ สุขุมวิท 42 และโครงการโนเบิล เกเบิล วัชรพล เป็นต้น


นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัทโนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)

ด้านยอดขาย (Pre-sales) ในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 4,265 ล้านบาท โดยกว่า 2,500 ล้านบาทเป็นยอดขายมาจากโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ และอีกกว่า 1,700 ล้านบาทหลักๆมาจากยอดการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 2 โครงการคือโครงการโนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ และโครงการนิว โนเบิล เซ็นเตอร์ บางนา ประกอบบริษัทฯ ได้ประสบความสำเร็จในการออกแคมเปญ LAST PIECE, LAST PRICE สำหรับ 5 โครงการพร้อมอยู่ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2564 ที่ผ่านมา ขณะที่ยอดขายจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ในช่วงครึ่งปีแรกยังคงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้จากส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง 40% ของยอดขายรวมจากทุกผู้ประกอบการในการขายคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯและปริมณฑลสำหรับลูกค้าต่างชาติในครึ่งปีแรกของปี 2564 สะท้อนถึงเครือข่ายกลุ่มลูกค้าที่แข็งแกร่งของบริษัทฯโดยเฉพาะประเทศจีน เป็นต้น

ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 บริษัทมีรายได้รวม 2,233 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% YoYจากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดและโครงการบ้านที่ก่อสร้างแล้วเสร็จจากลูกค้าคนไทยและต่างประเทศมากขึ้น ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 302 ล้านบาท ทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นผลมาจากแรงกดดันจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 5/2564 มีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกประจำปี 2564 จำนวน 0.35 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 479 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนปันผล (Dividend Yield) ย้อนหลัง 12 เดือนกว่า 10% สะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ดีในช่วงครึ่งปีแรก โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 24 สิงหาคม 2564 และคาดว่าจะทำการจ่ายเงินปันผลภายในต้นกันยายนนี้

นายธงชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯยังคงมุ่งเน้นพัฒนาโครงการแนวราบอย่างต่อเนื่อง รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น) เพื่อขยายพอร์ตให้มีสินค้ากระจายและครอบคลุมมากขึ้น อีกทั้งการพัฒนาโครงการในลักษณะดังกล่าว จะช่วยให้บริษัทฯสามารถรับรู้รายได้เร็วขึ้น เนื่องจากใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างน้อยลง โดยวางเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนของการพัฒนาโครงการแนวราบในพอร์ตเป็นประมาณ 30% จากปัจจุบันที่มี 10% ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการพร้อมเปิดตัวทั้งแนบราบและคอนโดมิเนียมกว่า 10 โครงการ โดยมีแผนจะพัฒนาโครงการแนวราบหลากหลายทำเล อาทิ ถนนดอนเมือง, ถนนเอกมัย รามอินทรา, ถนนราชพฤกษ์, ถนนศรีนครินทร์ เป็นต้น

“ บริษัทฯเห็นโอกาสในการเข้าซื้อที่ดิน เพื่อพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น เนื่องจากปัจจัยของโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้เจ้าของที่ดินต่างนำที่ดินออกมาขายทอดตลาดในราคาที่เหมาะสมขึ้น ขณะที่ NOBLE มีความพร้อมทางด้านฐานะทางการเงินที่ดี ซึ่ง ณ สิ้นไตรมาส 2 /2564 บริษัทฯมีกระแสเงินสดในมือรวมมูลค่ากว่า 1,600 ล้านบาท และมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกกว่า 4,500 ล้านบาท ซึ่งสามารถรองรับอัตราการเติบโต และการขยายตัวในภาวะปัจจุบันได้อย่างเพียงพอ

ส่วนกรณีการปิดแคมป์คนงานก่อสร้างเป็นระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา NOBLE ยังไม่เห็นผลกระทบในแง่การโอนกรรมสิทธิ์ปีนี้ เนื่องจากบริษัทสามารถส่งมอบโครงการได้ตามแผนที่ตั้งไว้ อย่างไรก็ดียอดขาย (Pre-sales) ที่ตั้งไว้ในช่วงต้นปีอาจเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการเลื่อนการเปิดโครงการจากสถานการณ์โควิท-19 แต่บริษัทฯยังคงดำเนินการอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการเช่น การขอใบอนุญาติที่เกี่ยวข้องในระหว่างที่รอให้สถานการณ์ดีขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 4 เป็นต้นไป โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/2564 บริษัทฯมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวมประมาณ 11,800 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถทยอยรับรู้ภายใน 3 ปีข้างหน้า และมีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 1.19 เท่า

นอกจากนี้ สำหรับความคืบหน้าการลงทุนในสหราชอาณาจักร ล่าสุดบริษัทฯได้ปิดดีลการซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์แล้ว 2 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 300 ล้านบาท ในเมืองแมนเชสเตอร์ และในชานเมืองลอนดอน โดยอยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจสอบข้อมูลกิจการ (Due Diligence) สุดท้าย ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง โดยใช้จุดแข็งของ NOBLE ที่มีเครือข่ายในต่างประเทศรวมถึงการมีฐานลูกค้าต่างชาติที่แข็งแกร่ง ขณะเดียวกันปัจจุบันบริษัทฯยังมีดีลลงทุนซื้อโครงการในต่างประเทศอีก 2-3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1,800 ล้านบาท โดยวางเป้าหมายการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ในสหราชอาณาจักรในช่วง 3 ปีจากนี้ จะใช้งบลงทุนรวมประมาณ 250 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง (ซึ่ง NOBLE จะลงทุนตามสัดส่วน 45% ต่อโครงการ) โดยในปีแรกคาดจะใช้งบลงทุน 25 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง หรือประมาณ 1,100 ล้านบาท (ซึ่ง NOBLE จะลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท ตามสัดส่วน 45%) และคาดว่าภายใน 3 ปี NOBLE จะมีส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในสัดส่วน 15%-20% ของกำไรสุทธิรวม