นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า สรท. คาดการณ์การส่งออกไทยในปี 2564 เติบโตมากกว่า 7% โดยการส่งออกเฉลี่ยต่อเดือนจากนี้อยู่ที่ 19,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีโอกาสเติบโตถึง 10% โดยส่งออกเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 21,000 ล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมกันนี้หากต้องการส่งออกทั้งปีอยู่ที่ 15% การส่งออกเฉลี่ยต่อเดือนจากนี้อยู่ที่ 23,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โอกาสอาจจะน้อยเนื่องจากต้องมีหลายปัจจัยประกอบกับผู้ส่งออกต้องผลักดันการส่งออกอย่างเต็มที่
                          
ทั้งนี้ การส่งออกจะโตได้ต้องมีปัจจัยบวกที่สนับสนุน ได้แก่  การฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจโลก ประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ สหรัฐ จีน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่นจากการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่และความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการใช้จ่ายตามปกติ
 
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่กระทบต่อการส่งออก ได้แก่ 1. แรงงานขาดแคลน เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวทำให้ความต้องการแรงงานในกระบวนการผลิตเพิ่มขึ้น แรงงานต่างด้าวเดินทางกลับประเทศและยังไม่ได้เดินทางกลับเข้ามาจากการปิดประเทศ ประกอบกับปัจจุบันจำนวนวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทย ยังไม่สามารถจัดสรรให้เพียงพอกับจำนวนแรงงานในภาคการผลิตเท่าที่ควร ยิ่งซ้ำเดิมปัญหาการขาดแคลนแรงงานให้ทวีความรุนแรงมากขึ้น
 
2. สถานการณ์การระบาดโควิด-19 ที่มีความรุนแรงในประเทศ อาทิ กรณีคลัสเตอร์การระบาดในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ภายในประเทศ เริ่มส่งกระทบต่อกระบวนการผลิตที่ต้องหยุดชะงักชั่วคราวและการเลื่อนส่งมอบสินค้าไปยังประเทศปลายทาง 3.ปริมาณปัจจัยการผลิตที่ไม่เพียงพอและมีต้นทุนเพื่มสูงขึ้น
 
และ 4. ปัญหาตู้สินค้าขาดแคลนและอัตราค่าระวางที่ทรงตัวในระดับสูง ทั้งนี้ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย วิงวอนให้รัฐบาลดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อเร่งฉีดวัคซีคให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม โดยเฉพาะแรงงานภาคการผลิตให้เร็วที่สุด เนื่องจากวัคซีนเป็นเครื่องป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างเดียวที่สามารถช่วยภาคการส่งออกและภาคการผลิตซึ่งเป็นซัพพลายเชนของการส่งออก ซึ่งเป็นเครื่องจักรทางเศรษฐกิจเดียวที่ยังเดินหน้าต่อไปได้ให้สามารถฟื้นตัวและสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศให้ยังอยู่รอดได้ต่อไป
 

การส่งออกเดือนพฤษภาคม 2564 มีมูลค่า 23,057 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 41.59% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออกในรูปเงินบาทเท่ากับ 714,885 ล้านบาท ขยายตัว 36.22% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน ขณะที่การนำเข้าในเดือนพฤษภาคม 2564 มีมูลค่า 22,261 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 63.54% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน ส่งผลให้เดือนพฤษภาคม 2564 ประเทศไทยเกินดุลการค้า 795 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 14,967 ล้านบาท

ส่วนภาพรวมช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2564 ไทยส่งออกรวมมูลค่า 108,635 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 10.78% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคิดเป็นมูลค่าการส่งออกในรูปเงินบาทที่ 3,279,410 ล้านบาท ขยายตัว 7.64% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 107,141 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 21.52% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นมูลค่า 3,280,010 ล้านบาทขยายตัว 18.27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ช่วงเดือนนมกราคม-พฤษภาคม 2564 ประเทศไทยเกินดุลการค้า 1,494 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และขาดดุล 600 ล้านบาท


           นายสุภาพ สุวรรณพิมลกุล รองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า ต้องการให้แรงงานต่างด้าวเข้าถึงการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพราะเป็นกลุ่มสำคัญเช่นกัน พร้อมกันนี้ ต้องการให้หน่วยงานภาครัฐเร่งควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อรวมไปถึงการเร่งฉีดวัคซีน เพราะเศรษฐกิจไทยที่ขับเคลื่อนได้ในขณะนี้คือภาคของการส่งออก โดยอุตสาหกรรมที่ยังคงเติบโตได้ เช่น ยางพาราและผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรมอาหาร ชิ้นส่วนยายยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น และก็คาดหวังการอ่อนค่าของเงินบาทจะช่วยให้การส่งออกเติบโต
 
“วิงวอนให้รัฐบาลดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อเร่งฉีดวัคซีคให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม โดยเฉพาะแรงงานภาคการผลิตให้เร็วที่สุด เนื่องจากวัคซีนเป็นเครื่องป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 อย่างเดียวที่สามารถช่วยภาคการส่งออกและภาคการผลิตซึ่งเป็นซัพพลายเชนของการส่งออก ซึ่งเป็นเครื่องจักรทางเศรษฐกิจเดียวที่ยังเดินหน้าต่อไปได้ให้สามารถฟื้นตัวและสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศให้ยังอยู่รอดได้ต่อไป”