ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด Economic Intelligence ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) เปิดเผยถึงการประเมินกรณีที่ กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.75% ภายในไตรมาส 2 ปีนี้ โดยมองว่า ศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มหดตัวรุนแรงและมากกว่าที่คาด โดยตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ที่ -5.3% ได้เน้นย้ำถึงแนวโน้มการหดตัวอย่างรุนแรงของเศรษฐกิจไทย ซึ่ง EIC มองว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมยังมีความจำเป็นเพื่อช่วยส่งเสริมการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศต่อไป

รวมถึงเพื่อช่วยผ่อนคลายภาวะการเงินไทยที่ตึงตัวขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนระบาดของ COVID-19 ซึ่งมีสาเหตุจากหลายปัจจัยด้วยกัน เช่นอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงสูงขึ้น ซึ่งถึงแม้ในช่วงที่ผ่านมา กนง. จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง แต่ด้วยแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่อาจจะติดลบถึง 1% ในปี 2563 ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง จะปรับสูงขึ้น เพราะอัตราเงินเฟ้อลดลงเร็วกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยในปัจจุบันคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงจะอยู่ที่ 1.75%

ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตร และ corporate spread ปรับสูงขึ้น ประเมินว่าแม้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรและ coportate spreads จะเริ่มลดลง หลังจากมีมาตรการสนับสนุนสภาพคล่องในช่วงที่ผ่านมา แต่เมื่อเทียบกับในช่วงต้นเดือน ก.พ. ปี 2563 พบว่า ทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลและ corporate spread ปรับสูงขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสะท้อน risk-premium ของสินทรัพย์เสี่ยงที่เพิ่มขึ้นตามความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทย ทำให้ภาคธุรกิจที่ระดมทุนผ่านหุ้นกู้มีต้นทุนในการระดมทุนสูงขึ้น

ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับลดลง ซึ่งล่าสุดจะมีการฟื้นตัวขึ้น แต่หากเทียบกับในช่วงสิ้นปี 2562 ที่ผ่านมา พบว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยยังปรับลดลงถึง 32% ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและครัวเรือน รวมถึงทำให้ความมั่งคั่งลดลง ซึ่งจะส่งผลต่อแนวโน้มการบริโภคและการลงทุนในระยะต่อไป นอกจากนี้ จากภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ดังกล่าว ยังทำให้การระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ ของหลายบริษัทได้ถูกเลื่อนออกไป ซึ่งสะท้อนถึงความล่าช้าเพิ่มขึ้นในการเข้าถึงแหล่งทุนนั่นเอง

ส่วนสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ชะลอลงมาก โดยสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ในปี 2562 ขยายตัวที่ 2% ชะลอลงจากปี 2561 ที่ขยายตัวถึง 6% ทั้งนี้ประเมินว่าสินเชื่อมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงอีกค่อนข้างมากในภาวะที่อุปสงค์ในประเทศหดตัวลงและความเสี่ยงต่อการดำเนินธุรกิจมีมากขึ้น ซึ่งจะทำให้สถาบันการเงินมีแนวโน้มระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น รวมถึงความไม่แน่นอนจากต่างประเทศสูงขึ้น เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกจากไทย ซึ่งพบว่าเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกจากตลาดพันธบัตรไทยทั้งสิ้น 9.9 หมื่นล้านบาทนับจากต้นปีที่ผ่านมาและไหลออกจากตลาดหลักทรัพย์ถึง 1.1 แสนล้านบาท

ทั้งนี้จากมติการคงดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้ไม่เป็นเอกฉันท์ ประเมินว่า ความเสี่ยงจากทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และภาวะการเงินที่ยังคงตึงตัวดังกล่าวจะมีสูงในช่วงไตรมาสที่ 2 ซึ่งน่าจะเป็นช่วงที่ผลกระทบของ COVID-19 ต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยรุนแรงมากที่สุด ซึ่งน่าจะทำให้ กนง. ยังมีโอกาสพิจารณาลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมได้อีก 25 bps

อย่างไรก็ตามในระยะต่อไป EIC มองว่า มาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐจะยังมีความจำเป็น ประเมินว่า มาตรการช่วยเหลือด้านสินเชื่อที่ ธปท. ได้ออกมาล่าสุดนั้น เป็นการลดภาระด้านรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อทั้งรายจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้น ซึ่งช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการได้บ้าง สำหรับปัญหาที่ผู้ประกอบการและครัวเรือนยังต้องเผชิญอยู่คือการขาดหายไปของรายได้ และอุปทานของสินค้า/บริการที่ชะงักไป ประเมินว่า เพื่อประคับประคองอุปสงค์ในประเทศในช่วงที่เศรษฐกิจไทยยังได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี