เมื่อวันที่ 24 มี.ค.63 เวลา 14.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวว่า ที่ประชุมครม. มีมติเห็นชอบให้ประกาศใช้ พระราชกําหนด หรือ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค.นี้  เป็นต้นไป เพื่อรับมือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยจำกัดการเดินทางเคลื่อนย้ายของประชาชนซึ่งจะทำให้เชื่อยิ่งแพร่กระจาย

โดยนายกฯ กล่าวว่า ให้มีศูนย์อำนวยการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ.โควิด ที่ทำเนียบรัฐบาล และมีการประกาศมาตรการทุกวัน หลังการประชุมทุกวันในเวลา 19.00 น. โดยข้อกำหนดประกาศต่างๆ ออกได้ตลอดเวลา เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรค โดยจะเน้นขอความร่วมมือการปิด และการเปิดสถานที่ต่างๆ ในระยะต่อไป พร้อมขอความร่วมมืออย่าให้ประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนา เพราะจะพบกับมาตรการคัดกรอง ซึ่งจะมีด่านตรวจที่สำคัญตามที่ได้ประกาศไปก่อนหน้านี้

“เน้นให้ประชาชนกักตัวอยู่ที่บ้าน ในพื้นที่ สถานที่กักตัว ที่รัฐบาลจะจัดให้เพิ่มเติม เช่น โรงพยาบาลสนาม พื้นที่กักตัวขนาดใหญ่ที่จะคนได้ 100-1,000 คน และจัดหาเวชภัณฑ์ให้เพียงพอ ด้วยการจัดซื้อเพิ่มเติม”

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขอให้ประชาชนอย่างตื่นตระหนก ให้ฟังข่าวสารจากรัฐบาลผ่านระบบโซเชียลมีเดีย ทวิตเตอร์ และศูนย์ปฏิบัติ “ศอฉ.โควิด” กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการต่างประเทศ ตลอดทั้งวัน และมีการแถลงสรุปในแต่ละวัน

สาระสำคัญของกฎหมายรัฐบาลขอให้ทุกวันระมัดระวังในการใช้โซเชียล เพราะห่างมีการบิดเบือน จะมีเจ้าหน้าที่พนักงานที่ถูกแต่งตั้งตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ดำเนินการได้ และจากนี้ไปจะมีการตั้งด่านตรวจ ปรับมาตรฐานให้เข้มข้น เพราะมีความจำเป็นต้องปิดล็อกพื้นที่ทั้งหมด

 

นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ครม. ได้หารือถึงแนวทาง การกำหนดห้ามเข้าพื้นที่เสี่ยง ,อาจมีคำแนะนำห้ามข้ามเขตจังหวัด อาจจะมีการปิดเสี่ยงเพิ่มเติมขึ้นอยู่กับอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด และกระทรวงมหาดไทย และอาจมีการปิดช่องทางเข้าประเทศไทยเพิ่มเติม ขณะที่ชาวต่างชาติยังสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ตามปกติ ส่วนข้อกำหนดเวลาออกนอกเคหสถานตอนนี้ ตอนนี้ยังไม่ได้มีการกำหนด 

 

สำหรับสาระสำคัญของพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มีทั้งหมด 19 มาตรา

มาตรา 4 ในพระราชกำหนดนี้ “สถานการณ์ฉุกเฉิน” หมายความว่า สถานการณ์อันกระทบ หรือ อาจกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือ เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ หรือ อาจทำให้ประเทศ หรือ ส่วนใดส่วนหนึ่งของประเทศตกอยู่ในภาวะคับขัน หรือ การกระทำความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา การรบ หรือ การสงคราม ซึ่งจำเป็นต้องมีมาตรการเร่งด่วนเพื่อรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทย เอกราชและบูรณภาพแห่งอาณาเขต ผลประโยชน์ของชาติ การปฏิบัติตามกฎหมาย ความปลอดภัยของประชาชน การดำรงชีวิตโดยปกติสุขของประชาชน การคุ้นครองสิทธิเสรีภาพ ความสงบเรียบร้อยหรือประโยชน์ส่วนรวม หรือ การป้องปัดหรือแก้ไขเยียวยาความเสียหายจากภัยพิบัติสาธารณะอันมีมาอย่างฉุกเฉินและร้ายแรง

มาตรา 5 วรรคสอง การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามวรรคหนึ่ง ให้ใช้บังคับตลอดระยะเวลาที่นายกรัฐมนตรีกำหนด “แต่ต้องไม่เกินสามเดือนนับแต่วันประกาศ”

ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องขยายระยะเวลาให้นายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศขยายระยะเวลาการใช้บังคับออกไปอีกเป็นคราว ๆ คราวละไม่เกินสามเดือน

มาตรา 5 วรรคสาม เมื่อสถานการณ์ฉุกเฉินสิ้นสุดลงแล้ว หรือ เมื่อคณะรัฐมนตรีไม่ให้ความเห็นชอบ หรือ สิ้นสุดกำหนดเวลาตามวรรคสอง ให้นายกรัฐมนตรีประกาศยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น

มาตรา 6 ให้มีคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินคณะหนึ่ง ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ

มาตรา 9 ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินให้ยุติลงได้โดยเร็ว หรือ ป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงมากขึ้น ให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกข้อกำหนด

(1) ห้ามมิให้บุคคลใดออกนอกเคหสถานภายในระยะเวลาที่กำหนด เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือ เป็นบุคคลซึ่งได้รับการยกเว้น

(2) ห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใด ๆ หรือกระทำการใดอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย

(3) ห้ามการเสนอข่าว การจำหน่าย หรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวหรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉิน

(4) ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ หรือกำหนดเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ

(5) ห้ามการใช้อาคาร หรือเข้าไปหรืออยู่ในสถานที่ใด ๆ

(6) ให้อพยพประชาชนออกจากพื้นที่ที่กำหนดเพื่อความปลอดภัยของประชาชนดังกล่าว หรือห้ามผู้ใดเข้าไปในพื้นที่ที่กำหนด

มาตรา 18 ผู้ใดฝ่าฝืนข้อกำหนด ประกาศ หรือคำสั่งที่ออกมาตรา 9 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ