นโยบายการสร้างกลไกการพัฒนาสตาร์ทอัพไทยให้สามารถเติบโตในต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียน เนื่องจากมีประชากรสูงถึง 600 ล้านราย โดยตลาดที่น่าสนใจในการขยายธุรกิจสตาร์ทอัพคือ ประเทศอินโดนีเซียที่มีประชากรสูงถึง 250 ล้านคน รวมถึงกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) สามารถผลักดันให้ธุรกิจดังกล่าวเติบโตได้อย่างรวดเร็วด้วยการอาศัยความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีความคล้ายคลึงกับไทย โดยเฉพาะในด้านการบริการและการอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น บริการด้านการขนส่งและการเดินทาง บริการด้านการเงิน ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจบันเทิง บริการด้านการแพทย์ รวมถึงเทคโนโลยีด้านการเกษตรเพื่อตอบสนองการทำเกษตรกรรมที่ถือเป็นอาชีพพื้นฐานของภูมิภาคอาเซียน

ซึ่งปัญหาหนึ่งที่พบในการก้าวสู่ตลาดต่างชาติของสตาร์ทอัพไทยคือ “การพิชชิ่ง” ทักษะด้านหนึ่งที่ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพไทยยังขาด  ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการดึงดูดใจนักลงทุน ให้เข้ามาร่วมลงทุนและให้ความช่วยเหลือต่างๆสำหรับการดำเนินธุรกิจ โดยปัญหาที่พบส่วนใหญ่มีทั้งการวางแผนกลยุทธ์การสื่อสาร ทักษะการนำเสนอ การตั้งคำถาม – คำตอบระหว่างผู้นำเสนอและผู้รับฟัง การสร้างเนื้อหา (Content) ที่จำเป็นสำหรับการพิชชิ่ง ดังนั้น สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) จึงได้ร่วมกับ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ทำโครงการ “Pitch2Success : สานฝันสตาร์ทอัพไทยสู่สากล” เพื่อแก้ไขอุปสรรคดังกล่าว พร้อมมุ่งให้ความรู้ในการนำเสนอแนวคิดและแผนธุรกิจสตาร์ทอัพ (Pitching) ในต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการไทยได้รับโอกาสในการต่อยอดธุรกิจไปสู่เวทีการค้านานาชาติได้ง่ายขึ้น

               นายวิทยากร มณีเนตร รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า สำหรับกิจกรรมการพัฒนาสตาร์ทอัพไทยให้สามารถเติบโตในต่างประเทศ ได้แก่

  1. กิจกรรมพัฒนาศักยภาพ ด้วยหลักสูตร การฝึกอบรม และการให้คำปรึกษาของสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านการเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้ในบริบทการค้ายุคดิจิทัล ทั้งด้วยองค์ความรู้ในการจัดทำแผนธุรกิจ การทำพรีเซนเทชั่น (Pitch Deck) เทคนิคในการนำเสนอที่จะดึงดูดนักลงทุน (Pitching) เป็นต้น
  2. การเข้าร่วมกิจกรรมงานแฟร์ : สำนักพัฒนาและส่งเสริมธุรกิจบริการ (สพบ.) จะเป็นหน่วยงานของกรมที่จะต่อยอดและนำพาผู้ประกอบการสตาร์ทอัพเข้าสู่เวทีโลก อาทิ งานแฟร์ในต่างประเทศ ซึ่งผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ จะสามารถขอรับเงินทุนสนับสนุนได้รายละไม่เกิน 200,000 บาท ผ่านโครงการ SME Pro-active สำหรับสตาร์ทอัพ

 

 

ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ  (องค์การมหาชน) กล่าวว่า การพัฒนาสตาร์ทอัพไทยในช่วงที่ผ่านมาถือว่ามีสัดส่วนที่เยอะมากขึ้นทุกปี ซึ่งปัจจุบัน NIA มีจำนวนสตาร์ทอัพที่ร่วมพัฒนาภายใต้โปรแกรม Startup Thailand ประมาณเกือบ 2,000 ราย แต่ต้องยอมรับว่าสตาร์ทอัพไทยยังมีจำนวนน้อยที่มีโมเดลธุรกิจที่มีความเป็นนานาชาติและความเป็นสากล สวนทางกับนักลงทุนที่เป็น Corporate Venture ที่มีทั้งปริมาณและเม็ดเงินจำนวนมาก จึงทำให้ไม่สามารถร่วมลงทุนกันได้ ทั้งนี้ จึงจำเป็นจะต้องสนับสนุนความเป็นสากลกับสตาร์ทอัพไทยให้ได้มากยิ่งขึ้น เพื่อตอบโจทย์กับบริบทการค้าและผู้บริโภคในระดับโลก พร้อมทำให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างต่อไป

สำหรับการส่งเสริมด้านดังกล่าวของ NIA นั้น ในระยะแรกจะมีการเชิญชวนสตาร์ทอัพที่เป็นต่างชาติเข้ามาร่วมลงทุน และทำธุรกิจในไทย ซึ่ง NIA จะอำนวยความสะดวกทั้งด้านการจัดตั้งบริษัทและพื้นที่การดำเนินธุรกิจ (landing pad) สมาร์ทวีซ่า ศูนย์บริการที่เป็น One Stop Service ที่ทรูดิจิทัล พาร์ค ย่านนวัตกรรมปุณณวิถี และ Global Hub ที่ Chiang Mai & CO จ.เชียงใหม่ โดยการสนับสนุนตามแนวทางข้างต้นมั่นใจว่าจะทำให้สตาร์ทอัพไทยเข้าใจมาตรฐานการทำสตาร์ทอัพระดับนานาชาติ รวมถึงนวัตกรรมเทคโนโลยี และแนวคิดที่จำเป็นต้องใช้ในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น พร้อมนำไปประยุกต์ใช้ในแต่ละสินค้าและบริการที่มีอยู่ได้อย่างมีนัยสำคัญ

 ตลาดการแข่งขันสตาร์ทอัพในระดับอาเซียนปี 2019 คาดว่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรงมากกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเรื่องการลงทุนและการระดมทุนในกลุ่มธุรกิจที่เติบโตแล้ว ตัวอย่าง เช่น Grab (แกร็บ) และ Gojek (โกเจ็ก) หรือ ที่รู้จักกันในนาม Get (เก็ท) จากประเทศอินโดนีเซีย ส่วนของประเทศไทยคาดว่าจะอยู่ในกลุ่ม Deep Technology เช่น เอไอ บล็อกเชน บิ๊กดาต้า ไอโอที สตาร์ทอัพด้านเกษตรกรรม อาหาร การท่องเที่ยว เทคโนโลยีการแพทย์ รวมทั้งสมาร์ทซิตี้  หรือการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่ถือว่ามีความได้เปรียบในการแข่งขันและโอกาสเติบโตสูง ส่วนสตาร์ทอัพที่การแข่งขันเริ่มมีปริมาณมากและคาดว่าจะล้นตลาดคือกลุ่มโมบายล์แอปพลิเคชั่น ซึ่งทางรอดคือจะต้องพัฒนาแพลตฟอร์มให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และเน้นให้เกิดความเร็วทันใจมากที่สุด