ดร. เบญจรงค์ สุวรรณคีรี หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร ME by TMB เปิดเผยว่า ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ME by TMB การธนาคารรูปแบบดิจิทัล (Digital Banking) เพื่อตอบโจทย์คนยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง มีผลการดำเนินงานเติบโตในทิศทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีจำนวนลูกค้ามากกว่า 360,000 บัญชี เมื่อดูจากบัญชีหลักคือ ME SAVE เติบโตเฉลี่ย 22% ต่อปี ทำให้ช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ME ให้ดอกเบี้ยกับลูกค้าไปแล้วรวมทั้งสิ้น 4,490 ล้านบาท

ในช่วงที่ผ่านมา ME ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อตอบโจทย์ลูกค้ายุคดิจิทัลผ่าน 3 ผลิตภัณฑ์ เริ่มจากบัญชี ME SAVE บัญชีเงินฝากดิจิทัลซึ่งให้ดอกเบี้ยสูงถึง 4.5 เท่าของออมทรัพย์ทั่วไปหรือ 1.7% ต่อปี และล่าสุดเมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา ได้ปลดล็อคการเปิดบัญชี ME SAVE ได้ผ่านระบบ EKYC (Electronic Know Your Customer)  เพื่มความสะดวกให้กับลูกค้าในขั้นตอนยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชัน ME ได้ทุกที่ ทุกเวลาโดยไม่จำเป็นต้องไปยืนยันตัวตนที่สาขาอีกต่อไป และเมื่อกลางปี 2561 ได้เปิดให้บริการบัญชี ME MOVE  บัญชีเพื่อใช้จ่าย พร้อมฟีเจอร์ Balance sweep ที่ช่วยคุณปัดเงินที่ยังไม่ใช้ไปเก็บที่ ME SAVE เพื่อรับดอกเบี้ยสูงแบบอัตโนมัติ ซึ่งลูกค้าให้การตอบรับดีมาก โดยเปิดบัญชีถึง 48,000 บัญชี มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ 40,000 บัญชี และยังส่งผลให้ลูกค้าทำธุรกรรมกับ ME เพิ่มขึ้นถึง 70% เมื่อเทียบกับปี 2560  พร้อมด้วยล่าสุดเมื่อปลายปีที่ผ่านมาได้มีการเปิดตัว ME SURE ซื้อประกันชีวิตผ่านแอปพลิเคชั่นเป็นรายแรกของไทย

ในปีนี้เราได้แบ่งกลยุทธ์การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านกลยุทธ์ Personalize โดยวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ พร้อมนำเสนอบริการแบบครบวงจร เพื่อให้ลูกค้าได้รับ Digital Experience ผ่านกลุ่มเป้าหมาย 3 กลุ่ม ได้แก่

  1. ME Love You คือ กลุ่มลูกค้าที่ใช้งาน ME เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง มีความเคลื่อนไหวทางบัญชี หรือฝากมากกว่าถอน และรวมถึงกลุ่มที่มีผลิตภัณฑ์ ME ครบทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์ โดยจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ และบริการ พร้อมด้วยสิทธิพิเศษ (Privilege) ที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้ากลุ่มนี้ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแบรนด์กับลูกค้า ME และก่อให้เกิดการบอกต่อในอนาคต
  2. ME Miss You คือ กลุ่มลูกค้าที่ขาดการติดต่อกับ ME โดยจะกระตุ้นให้กลับมาเคลื่อนไหวบัญชี พร้อมทั้งนำเสนอประสบการณ์ใหม่ๆ ที่จะทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้ใช้งานบัญชีสะดวกสบายยิ่งขึ้น แล้วทำให้กลับมาใช้ ME เป็นหนึ่งในดิจิทัลไลฟ์สไตล์ของเขา
  3. ME Need You คือ กลุ่มลูกค้าใหม่ ซึ่งในปีนี้ตั้งเป้าอยู่ที่ 20% ของลูกค้าปัจจุบัน โดยเราโฟกัสไปที่กลุ่ม Gen D และ Gig worker หรือ ฟรีแลนซ์ เนื่องจากผลวิจัยพบว่า พฤติกรรมของ Gen D เป็นคนที่มีประสบการณ์กับดิจิทัลเป็นหนึ่งในไลฟ์สไตล์ของเขา ชอบการใช้โซเชียลในชีวิตประจำวัน และยังมี 2 เรื่องใหญ่ที่ Gen D ให้ความสำคัญ ได้แก่ เรื่องการบริหารการใช้จ่ายเพื่อการออม (Manage Spending for Saving) และการบริหารการลงทุน (Manage Investment Portfolio per Risk Appetite)

 

 

ทั้งนี้ กลุ่มลูกค้าของ ME ปัจจุบัน 80% เป็นคนรุ่นใหม่ถึงวัยทำงาน ชอบความคล่องตัว เป็นกลุ่มที่เปิดรับการใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ต สะดวกกับการทำอะไรด้วยตัวเอง เพื่อผลตอบแทนที่มากกว่า ไม่สะดวกไปทำธุรกรรมที่สาขา โดยมีสัดส่วนอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลกว่า 73% และต่างจังหวัด 27%

ดร. เบญจรงค์ กล่าวต่อว่า ปีนี้  ME ยังมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เพื่อให้ลูกค้าได้มากกว่าเสมอ พร้อมกระตุ้นลูกค้าให้หันมาใช้บริการ ME ผ่านแอปพลิเคชันมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีลูกค้าใช้งานอยู่ประมาณ 70% โดยมีเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 80% ของลูกค้าทั้งหมด และปัจจุบัน ME กำลังอยู่ใน Sand box หรือ เฟส 2 ของการพัฒนาไปสู่ Full EKYC ที่สามารถเปิดบัญชีได้ด้วยบัตรประชาชน และสมาร์ทโฟนทั้ง Android และ iOS ซึ่งคาดว่าจะสามารถใช้งานได้ภายในไตรมาสที่สองนี้ และจะทำให้ทุกคนสามารถเป็นลูกค้า ME ผ่านแอปพลิเคชันเดียวได้แบบ real time ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่ต้องมายืนยันตัวตนที่สาขาอีกต่อไป

โดยมั่นใจว่าแบงก์จะเป็นตัวช่วยทำอะไรให้ลูกค้าได้มากขึ้น เช่น การเก็บเงินได้มากขึ้น ด้วยฟีเจอร์ Balance sweep ของบัญชี ME MOVE ช่วยปัดเงินที่ยังไม่ใช้ไปรับดอกเบี้ยสูงกับ ME SAVE การใช้จ่ายได้สะดวกขึ้น ด้วยฟีเจอร์ QR payment ของบัญชี ME MOVE การได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น ผ่านผลิตภัณฑ์ใหม่ บัญชีเพื่อการลงทุนที่ได้ผลตอบสูง เพื่อทำให้เงินของคุณงอกเงย รวมทั้งการเก็บเงินพร้อมความคุ้มครองที่มากขึ้น กับ ME SURE ซื้อประกันผ่านแอปพิเคชันพร้อมความคุ้มครองทันที และผลตอบแทนที่ได้รับคืนเข้าบัญชี ME SAVE เพื่อรับดอกเบี้ยทำให้เงินงอกเงย ตลอดจนช่วยทำให้ลูกค้าไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น ด้วยฟีเจอร์และนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ใช้งานได้ง่ายขึ้น เพื่อให้ลูกค้า ME ได้สัมผัส Digital Experience แบบเต็มรูปแบบ