คลังลุ้นภาษีที่ดินผ่านฉลุย กฎหมายมีผลบังคับใช้ปี 2563 เก็บภาษีจริงปี 2563 เคาะเพดานภาษี 4 ประเภท ยังไม่กระทบผู้เสียภาษี แจงรีดภาษีบ้านหลังแรกที่เกิน 50 ล้านบาท เสียล้านละ 200 บาท เข้าข่ายต้องจ่ายภาษีแค่หมื่นกว่าหลังเท่านั้น

           นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า วันนี้ (15พ.ย.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง วาระ 2 และ 3 ซึ่งกฎหมายจะมีผลบังคับใช้ในปี 2562 แต่จะเริ่มเก็บภาษีจริงในวันที่ 1ม.ค. 2563 ซึ่งกฎหมายดังกล่าวจะมาแทนกฎหมายเดิม คือ พ.ร.บ. ภาษีบำรุงท้องที่ และ พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ทำให้ไม่กระทบกับผู้เสียภาษีแต่อย่างไร แต่เป็นการออกกฎหมายเพื่อให้การเก็บภาษีขององค์กรปกครองถิ่น (อปท.) มีประสิทธิภาพมากขึ้น

           สำหรับ ร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง กำหนดเพดานอัตราภาษีที่ดินเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1. ที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมกำหนดไว้ 0.15% 2.ที่ดินเพื่ออยู่อาศัย 0.3% 3.ที่ดินเพื่อการพาณิชย์ อุตสาหกรรม สันทนาการ และอื่นๆ 1.2% และ 4 ที่ดินว่างเปล่า 3%

           อย่างไรก็ตาม อัตราเก็บภาษีจริงจะต้องออกเป็นกฎหมายลูก ซึ่งได้มีการพิจารณาเป็นที่เรียบร้อยเพื่อบรรจุไว้ในบทเฉพาะกาลของกฎหมาย เพื่อใช้เก็บภาษีจริงใน 2 ปี แรก โดยที่ดินเพื่อการเกษตรสำหรับบุคคลธรรมดาเว้นภาษีในส่วนมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท คิดเป็น 99.9% ของเกษตรกรทั้งหมดที่ได้รับการเว้นภาษี ส่วนที่เกิน 50 ล้านบาท เก็บ 0.01% หรือ ล้านละ 100 บาท และเว้นการเก็บภาษีให้ 3 ปีแรก เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบ ส่วนเกษตรกรที่เป็นนิติบุคคลให้เก็บภาษีตั้งแต่บาทแรกที่0.01%

           ด้านที่ดินเพื่อยู่อาศัยบ้านหลังแรกมูลค่าที่ไม่เกิน 50 ล้านบาท ได้รับการยกเว้น ซึ่งคิดเป็น 99.9% เช่นกัน ส่วนที่เกิน 50 ล้านบาท เสียภาษี 0.02%หรือ ล้านละ 200 บาท ซึ่งมีผู้บ้านที่ต้องเสียภาษีประมาณ 1 หมื่นกว่าหลังเท่านั้น สำหรับบ้านหลังที่ 2 เป็นต้นไปต้องเสียภาษีตั้งแต่บากแรกที่อัตรา 0.02%

           ขณะที่ที่ดินเพื่อการพาณิชย์มูลค่าเกิน 50 ล้านบาท เสีย 0.3% หรือ ล้านละ 3 พันบาท ส่วนที่เกิน 200 ล้านบาท เสียภาษี 0.4% หรือล้านละ 4 พันบาท ซึ่งจะไม่กระทบกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี รวมถึงผู้ประกอบการรายใหญ่ เพราะฐานการเก็บภาษีจะคิดแต่ราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเท่านั้นไม่รวมราคาเครื่องจักร เหมือนกับที่ต้องเสียตาม พ.ร.บ.ภาษีบำรุงท้องที่ โดยที่ดินประกอบการโรงเรียง สถานศึกษา โรงพยาบาล สนามกีฬา สนามกอล์ฟ จะได้บรรเทาภาษีสูงสุดถึง 90%



           “ผู้ที่ต้องเสียภาษีที่ดินเพื่อการเกษตร ที่อยู่อาศัย ที่เพื่อการพาณิชย์ หากมีภาระต้องเสียมากกว่าที่เคยเสียตามกฎหมายเก่า กฎหมายยังกำหนดบรรเทาภาระภาษีส่วนเกินในปีแรกจะเก็บ 25% ปีที่สอง 50% ปีที่สาม 75% และปีที่สี่ 100%” นายพรชัย กล่าว

สำหรับภาษีที่ดินที่ทิ้งว่างเปล่าจะเก็บภาษี 0.3% และเพิ่มขึ้น 0.3% ทุก 3 ปี หากยังไม่ใช้ประโยชน์ ซึ่งจากข้อมูลของกรมพัฒนาที่ดินพบว่ามีที่ดินทิ้งไว้ไม่ได้ทำประโยชน์ทั่วประเทศ 8.31 ล้านไร่ จากที่ดินทั้งประเทศประมาณ 300 ล้านไร่

           อย่างไรก็ดี การเก็บภาษีจาก พ.ร.บ. ภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 ท้องถิ่นเก็บภาษีได้ปีละ 900 ล้านบาท และ พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 เก็บภาษีได้ปีละ 2.9 หมื่นล้านบาท ซึ่ง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะมาใช้แทนกฎหมายเก่าทั้ง 2 ฉบับ จะทำให้การเก็บภาษีขึ้นประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ในปีที่ 4 ที่กฎหมายเริ่มมีผลบังคับใช้ให้เก็บภาษี

ขอบคุณข้อมูลจาก www.thaipost.net