หากคุณมีบิลล์ เกตส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์, สตีฟ จ็อบ อัจฉริยะผู้เปลี่ยนโลกแห่งแบรนด์ Apple หรือ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของเฟซบุ๊ก สื่อสังคมออนไลน์รายยักษ์ใหญ่ของโลกเป็นไอดอล ไม่ต้องอ่านต่อ คุณก็มีคำตอบในใจแล้วว่า ถ้าคิดจะเริ่มธุรกิจอย่ามัวรั้งรอ ต้องตีเหล็กตอนร้อนๆ ใช้ความกล้าและไอเดียที่มีกระโจนลงไปสู้ในโลกธุรกิจสักยก

          แต่เดี๋ยวก่อน...ก่อนจะยื่นใบลาออก หรือ ลงมือร่างแผนธุรกิจตั้งแต่ยังไม่พ้นรั้วมหาวิทยาลัย แล้วไปดูผลวิจัยที่จะทำให้คุณอาจต้องชะลอคันเร่ง เพราะพบแล้วว่า ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นธุรกิจ ไม่ใช่วัย 20 ต้นๆ แต่เมื่อก้าวสู่วัยกลางคนต่างหาก

           จากผลวิจัยของสำนักงานเศรษฐศาสตร์แห่งชาติของสหรัฐทำการวิเคราะห์ช่วงอายุของบรรดาผู้ก่อตั้งธุรกิจ รวมถึงความสำเร็จของพวกเขาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พบว่า แม้กลุ่มผู้ประกอบการยังเจนฯ จะมีแต้มต่อหลายอย่างในการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นความคุ้นเคยกับโลกแห่งการสื่อสาร การใช้เทคโนโลยี มีความยืดหยุ่น ไม่มีภาระผูกพันทางครอบครัว และมีสัญชาตญาณกล้าได้กล้าเสีย พบแล้วว่า ผู้ประกอบการที่อยู่ในช่วงวัยกลางคนมีโอกาสพาธุรกิจประสบความสำเร็จได้มากกว่าผู้ประกอบการวัยทีน

          ทั้งนี้ในผลวิจัยดังกล่าวชี้ชัดว่า ผู้ประกอบการที่อายุน้อยกว่า 25 ปี มีแนวโน้มว่าจะมีผลงานที่ออกมาค่อนข้างต่ำ ซึ่งหากเปรียบเทียบเป็นกราฟ จะพบว่า เมื่อเข้าสู่อายุ 25 ผลงานจะค่อยๆ เข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้น และจาก อายุ 25-35 ปี ผลงานจะค่อนข้างคงที่และจะทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดอีกครั้งตอนอายุ 35 ปี และ 46 ปี จากนั้นจะเข้าสู่สภาวะคงที่เมื่ออายุ 60 ปีไปแล้ว

          ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?

          ก่อนอื่นคุณต้องเชื่อมั่นในคุณค่าแห่งวัย แม้หลายคนจะมีคำพูดติดปากว่า แก่แล้วไม่มีอะไรดี แต่เชื่อเถอะว่า คนเราก็เหมือนขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดด้วยทักษะการทำงานที่สั่งสมมาตลอดชีวิต ทั้งการศึกษาหาความรู้ และ ประสบการณ์การทำงาน ซึ่งในภาษานักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า ทุนมนุษย์ (Human Capital) ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญมากเพราะเปรียบเสมือนเข็มทิศนำทางในการค้นหาโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ และ ใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

          อุปสรรคสำคัญถัดมาที่ขัดขวางความสำเร็จของเด็กรุ่นใหม่ คือ ความมั่นคงทางการเงินที่น้อย ขาดชั่วโมงบินที่มากพอ มีผลการศึกษาชี้ชัดว่า ผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์ในสายธุรกิจนั้นยิ่งมากเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสเข้าใกล้ความสำเร็จมากกว่ากลุ่มที่มีประสบการณ์น้อยกว่า นอกจากนี้ประสบการณ์ชีวิตที่โชกโชน ผ่านบทเรียนที่ฝึกความรับผิดชอบจากการมีครอบครัว บททดสอบเรื่องวินัยการเงินจากการผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ทำให้มีภูมิต้านทานมากพอที่จะเริ่มต้นธุรกิจอย่างไม่ประมาทและพร้อมเผชิญหน้ากับทุกอุปสรรคอย่างไม่หวั่น    

          ที่ขาดไม่ได้ คือ  อย่ามองข้ามภาษิตที่ว่า “ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม” ไม่ผิดหากคิดจะเริ่มธุรกิจตั้งแต่เนิ่นๆ แต่เริ่มแล้วอย่าลืมถามตัวเองต่อว่า ปลายทางของธุรกิจนี้อยู่ที่ความสำเร็จหรืออยู่ที่ไหน? เพราะในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ หรือ วิศวกร ถ้าจะให้เก่ง นอกจากทฤษฏีต้องแน่นแล้ว ยังต้องซ้อมมือผ่านประสบการณ์ทำงานจริง ในขณะที่เหล่าผู้ประกอบการฟันน้ำนมส่วนใหญ่ กลับมีมายด์เซ็ทที่ตรงกันข้าม คิดแต่ว่าต้องเริ่มธุรกิจให้ไว ยิ่งเร็วยิ่งดี จริงอยู่ที่คุณอาจเห็นไอดอลอย่างสตีฟ จ็อบส์ เริ่มต้นธุรกิจตอนอายุ 21 ปี แต่ถ้าศึกษาชีวประวัติของเขา จะพบว่าเขามาถึงจุดพีคของอาชีพเขา เกิดขึ้นตอนที่เขาเปิดตัวไอโฟนตอนอายุ 52 ปีแล้ว

          ปิดท้ายด้วยจุดแข็งที่สำคัญอีกข้อ คือ ประสบการณ์การทำงานทำให้คุณมีเครือข่ายคอนเนกชั่นที่มากกว่าเด็กรุ่นใหม่ อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะฉะนั้นจงใช้ประโยชน์จากคอนเนคชั่นที่มีสั่งสมมาหลายสิบปี มาสร้างแรงสนับสนุน และเพิ่มความได้เปรียบทางการแข่งขัน

ขอบคุณที่มา http://theconversation.com