ในสายตาคนรุ่นใหม่สตาร์ทอัพ คือ อาชีพเนื้อหอมที่คนมีของ ปรารถนาจะเข้ามาโชว์ศักยภาพ แต่ใครจะรู้ว่าไม่แน่จากเด็กหนุ่มธรรมดาๆ อาจกลายเป็นมหาเศรษฐีที่คนทั้งโลกต้องอยากรู้จักอย่าง มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ค แห่งเฟซบุ๊กก็ได้

ทว่าก่อนจะฝันหวานไปถึงปลายทางอันแสนหอมหวาน ใครที่กำลังคิดจะตั้งตัวเป็นสตาร์ทอัพ ต้องตั้งสติแล้วพาตัวเองให้ฝ่ากับดักที่ทำให้สตาร์ทอัพมือใหม่ล้มเหลวไม่เป็นท่าตั้งแต่ยังไม่ออกสตาร์ท ด้วยการบอกลา 5 แนวคิดเหล่านี้ให้ได้เสียก่อน

1.ฉันคิดว่าผลิตสินค้าและบริการที่ลูกค้าต้องการแล้ว

หัวใจหลักของการทำธุรกิจให้ปัง คือ ผลิตสินค้าหรือบริการที่เป็นที่ต้องการของตลาด ทว่าในความเป็นจริงสตาร์ทอัพทั้งหลายมักตกม้าตายเพราะสินค้าหรือบริการไม่ใช่สิ่งที่ตลาดต้องการ

หนึ่งในคำแนะนำที่ สตาร์ทอัพ อยากประสบความสำเร็จต้องฟัง คือ แทนที่จะเอาแต่คิดวาดแผนธุรกิจจากข้อมูลที่ไม่มีอยู่จริง สตาร์ทอัพที่ดี ต้องลงมือปฏิบัติ ลงสนามจริง เพื่อไปตามหา Pain Point ของกลุ่มเป้าหมาย เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างแล้วนำเสียงสะท้อนนั้น กลับมาเป็นเข็มทิศในการกำหนดยุทธศาสตร์

         2.กลัวที่จะล้มเหลว จึงไม่อยากไปต่อ

         "Fail Fast" หรือล้มเร็ว กลายเป็นวลีฮิตในยุค4.0 ที่นวัตกรรมกลายเป็นยาหอมที่หลายองค์กรและหลายธุรกิจต้องมี หลายคนอาจยังไม่รู้หรือมองข้ามไปว่า แท้จริงแล้วนวัตกรรมส่วนใหญ่ล้วนแปรสภาพมาจากความล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วน บวกกับความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ เพราะฉะนั้นสตาร์ทอัพที่คิดจะประสบความสำเร็จต้องไม่กลัวคำว่าล้มเหลว หรือ ถ้าคุณไม่ปลื้มกับคำว่าล้มเหลว ไม่จำเป็นต้องฝืนใจให้ชอบ แค่ทุกครั้งที่เจอความล้มเหลว ให้เรียกมันว่า เป็นการเรียนรู้ หรือ การทดลอง ที่จะพาคุณไปสู่เป้าหมายที่ดีกว่า แม้ว่าการเรียนรู้หรือการทดลองจะทำให้เจ็บตัวไปบ้าง แต่อย่างน้อยผลลัพธ์ที่กลับมาก็ทำให้คุณได้สติ ฉุกคิดและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ส่วนจะคุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไปหรือไป อยู่ที่ว่าคุณจะสามารถแปรสภาพความล้มเหลวนั้นอย่างไร

         3.คิดว่าเงินแก้ไขทุกอย่างได้

         สตาร์ทอัพหลายคนติดกับดักความคิดที่น่ากลัวว่า ธุรกิจยังสามารถไปต่อได้ ตราบที่คุณยังมีแรงพอที่จะหาเงินทุนมาหมุนเวียน ทั้งที่จริงๆแล้ว เงินไม่ได้มีอานุภาพขนาดนั้น อย่างน้อยเงินก็ไม่สามารถแก้ปัญหาหลายอย่างๆในธุรกิจได้ โดยเฉพาะถ้าเป็นปัญหาที่เริ่มต้นมาจากรากฐานของโมเดลธุรกิจที่ไม่มีประสิทธิภาพตั้งแต่ต้น

          ทางที่ดีแทนที่จะคิดว่าเงินเป็นกุญแจวิเศษ  ไขทุกปัญหาได้ ลองคิดใหม่ว่า เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้เมื่อเจอปัญหา คุณต้องตั้งสติ และ แก้ปัญหานั้นก่อนที่จะหว่านเงินลงไป

         4.คิดว่าธุรกิจยิ่งโตยิ่งเร็ว ยิ่งดี
          ข้อมูลจาก Startup Genome เผยรายงานที่น่าตกใจว่า มีสตาร์ทอัพถึง 74% ต้องพบกับความล้มเหลวในการดำเนินธุรกิจ เพราะโตเร็วเกินไป ตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดฝันร้ายเช่นนั้นมาจากความผิดพลาดในการบริหารจัดการเงินทุนที่มี สตาร์อัพ บางคนมีไอเดียดี สามารถระดมทุนได้มาก แต่ก็มีการบริหารการใช้จ่ายอย่างผิดพลาด จนทำให้ในที่สุด เมื่อบริษัทไม่สามารถทำกำไรได้ตามเป้าที่วางไว้ เงินทุนเริ่มชะงัก จะไปขอระดมทุนเพิ่ม ผลงานก็ดูไม่เข้าตา หลักสำคัญในการขยายธุรกิจคือ คุณต้องมั่นใจว่า ผลตอบแทนที่ได้กลับมาสมดุลกับรายจ่ายที่เสียไป  ธุรกิจที่ดีอาจไม่ต้องโตเร็วแบบข้ามคืน แต่เติบโตสม่ำเสมออย่างมั่นคง

        5.สตาร์ทอัพก็เหมือนมนุษย์เงินเดือนที่อัพเลเวท

         ต่อให้คิดจะลงแข่งมาราธอน ยังต้องเตรียมตัวฟิตร่างกายอย่างดี สาอะไรกับการทำธุรกิจ คุณต้องเตรียมตัว เตรียมใจให้พร้อมที่จะก้าวสู่สนามธุรกิจที่ไม่มีคำว่าง่ายและปราณี คนที่พร้อมและแข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น คือ ผู้ที่จะอยู่รอดได้ นอกจากคุณจะต้องเตรียมตัว ทำการบ้านให้พร้อม บอกตัวเองว่าจากนี้ คุณไม่ใช่มนุษย์เงินเดือนที่ทำงานไปวันๆ หรือ ทำโปรเจกต์พลาดก็ไม่เป็นไร  รอแก้ตัวโปรเจกต์หน้า แต่คุณคือ กัปตันเรือที่ต้องนำพาเรือที่ต่อขึ้นเอง ฝ่าคลื่นลมไปให้ถึงจุดหมายให้ได้