เมื่อประมาณ 70 ปีที่แล้ว ผู้บริหารสูงสุดของ IBM เคยลั่นวาจาไว้ว่า “จะมีตลาดสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์แค่ 5 เครื่องเท่านั้น” แล้วดูสิ ผ่านมาแค่ 70 ปี ตอนนี้มีคอมพิวเตอร์อยู่บนโลกนี้กี่เครื่องกัน? แหม.. แต่จะไปเย้ยหยันเค้าก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะใครกันที่จะบอกอนาคตได้แม่นยำ แม้แต่หมอกฤษคอนเฟิร์มยังต้องหน้าแตก เพราะดันไปทำนายว่าโอบาม่าจะครองตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐได้แค่สมัยเดียว

เอาล่ะ สิ่งที่เราจะบอกก็คือ การทำนายอนาคตมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ซะทีเดียว มันต้องมีอะไรที่สามารถบอกใบ้ได้บ้างล่ะ เพราะการเปลี่ยนแปลงมันก็เหมือนกระแสธาร จะเชี่ยวกรากหรือหดแห้งก็ดูเอาจากฝนฟ้า และครั้งนี้เราจะนำการคาดการณ์อนาคต (แบบเชื่อถือได้) ของโลกมาบอกต่อกัน

หลายหน่วยงาน หลายสำนักทั่วโลก เค้ามีการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงในอนาคตกันอยู่ตลอดเนืองๆอยู่แล้ว แต่ด้วยปัจจุบันนั้นโลกมันหมุนเร็วซะเหลือเกิน ทำให้เกิดการเติบโตอย่างฉับพลันและก้าวกระโดด จึงเกิดเป็นการคาดการณ์โลกในอีก 20 ปีข้างหน้า โดยเอาปัจจัยที่มีผลอย่างมากของโลกในปัจจุบันมาเป็นตัวหลักในการสมมติฐาน

คนมีจำนวนมากขึ้นแต่เกิดใหม่น้อยลง สูงวัยครองเมือง และเมืองเติบโต

World Bank เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่ออกมาพยากรณ์ประชากรในอนาคต ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โลกเปลี่ยนไป โดยในอีก 20 ปีข้างหน้า โลกเราจะมีประชากรมากกว่า 8 พันล้านคน (ปัจจุบันมี 7.4 พันล้านคน) ก็ดูเหมือนเพิ่มขึ้นมาไม่มากนัก เพราะเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงลดลงจากเดิมปีละ 1.3% ปีละ 0.9% นั่นหมายความว่า คนเราจะเป็นโสดมากขึ้นหรือมีลูกน้อยลง ซึ่งจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อยระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างบ้านเรา โดยประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีเปอร์เซ็นต์การเติบโตน้อยกว่าประเทศที่กำลังพัฒนา และ 59% ของประชากรทั้งโลกจะอาศัยอยู่ในพื้นที่เมือง มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดการเปลี่ยนจากเมืองเป็นชนบทมากขึ้น

มากกว่านั้นคือ อายุเฉลี่ยของประชากรในปี 2030 จะมีอายุประมาณ 33 ปี ฟังดูไม่แย่เท่าไหร่ เพราะคนอายุ 33 ปีก็กำลังเป็นวัยทำงานสร้างเนื้อสร้างตัว แต่ความจริงคือคนกลุ่มวัยทำงาน (อายุ 25-59 ปี) จะมีแค่ประมาณ 44.7% เท่านั้น อีก 38.8% คือกลุ่มอายุ 0-24 ปี และกลุ่มคนที่มีอายุมากกว่า 60 ปี จะมีสัดส่วนถึง 16.5%

โอละพ่อ.. นั่นหมายความว่าคนวัยทำงานในอนาคต จะต้องแบกรับทั้งภาระดูแลบุตรและพ่อแม่เลยทีเดียว

 

การลงทุนข้ามชาติมากขึ้น ประเทศมหาอำนาจจะถูกเปลี่ยนมือ

โลกาภิวัฒน์ช่วยกระชับระยะห่างระหว่างประเทศมากขึ้น ทำให้ในอนาคตตัวเลขของการส่งออกจะเติบโตเร็วยิ่งกว่า GDP ซะอีก โดยตัวเลข GDP ในปี 2030 จะอยู่ที่ประมาณ 4% แต่ตัวเลขการส่งออกคือ 5.3% เนื่องจากการการลงทุนโดยตรงจากภาคเอกชนต่างประเทศ (FDI) จะเติบโตมากขึ้น ซึ่งประเทศปลายทางที่จะเกิดการลงทุนมากที่สุดคือ จีน และ อินเดีย และจะทำให้ จีนเป็นประเทศที่มีการเติบโตของ GDP สูงที่สุดในโลก (9%) ตามมาด้วย อินเดีย (8.4%), บราซิล (5.5%) และรัสเซีย (5.3%) จนเกิดการเรียกกลุ่มประเทศเหล่านี้ว่า BRIC โดยประเทศเหล่านี้จะเป็นตลาดการลงทุนนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยประเทศที่มีสัดส่วนของการส่งออกมากที่สุดในโลกคือจีน คาดการณ์กันไปถึงขนาดที่ว่า ในปี 2026 (หรืออีกเพียงแค่ 10 ปี) ประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแรงที่สุดในโลกจะถูกเปลี่ยนมือจากสหรัฐอเมริกาเป็นจีน และอินเดียจะเติบโตขนสามารถแทนที่ญี่ปุ่นได้ในปี 2030 ถึงตอนนั้นเราอาจจะนึกขอบคุณรัฐบาลนี้ที่ผูกมิตรกับจีนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆก็ได้

อย่าได้ดูถูกพวกเค้าเลยเชียว เพราะหลังจากที่ BRIC จะชูธงนำทัพแซงหน้าหลายประเทศในโลกไปก่อนแล้ว ยังทำให้เกิดการจับตามองประเทศคลื่นลูกใหม่ในชื่อ Next Eleven (บังคลาเทศ, อียิปต์, อินโดนีเซีย, อิหร่าน, เม็กซิโก. ไนจีเรย, ปากีสถาน, ฟิลิปปินส์, เกาหลีใต้, ตุรกี และเวียดนาม) ที่คาดการณ์กันว่าจะมีตัวเลขการส่งออกเติบโตที่สุด (12%) และมีการเติบโตของ GDP ถึง 5.9% โดยประเทศที่เป็นเสาหลักใน Next Eleven คือ เกาหลีใต้, เม็กซิโก และตุรกี

สำหรับ ASEAN ของเราก็ไม่ได้ล้าหลังมากนัก ยังคงตามมาติดๆ โดยประเทศที่จะมีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดคือ อินโดนีเซีย และ ไทย (ซึ่งทำให้เรามีความหวังและใจชื้นอยู่บ้าง) ในขณะที่ประเทศที่เติบโตเร็วที่สุดคือ ฟิลิปปินส์ (เติบโตถึง 7.5%) และสำหรับตัวเลขการส่งออกวียดนามจะเติบโตเป็นที่หนึ่ง (9%) และเขี่ยประเทศไทยลงไปอยู่อันดับที่สอง ( 6.6%) เนื่องจากเวียดนามกำลังเข้าสู่ภาวะการพัฒนาเมืองอย่างจริงจังนั่นเอง

 

เทคโนโลยีผลิบาน

สำหรับเทคโนโลยีในยุคดิจิตอลนั้นก็จะยังเติบโตต่อไป ที่สำคัญคือจะยิ่งเพิ่มสปีดการพัฒนามากขึ้น และอาจจะ มีคนที่ใช้สมาร์ทโฟนมากกว่า 5 พันล้านคน หรือจำนวนสมาร์ทโฟนจะมีประมาณ 60% ของคนทั้งโลก! สาระสำคัญของยุคเทคโนโลยีผลิบานก็คือ เมื่อเทคโนโลยีโตเร็ว การเติบโตของเศรษฐกิจโลกก็จะโตเร็วไปด้วย และในทางเดียวกัน เมื่อเศรษฐกิจโลกโตเร็ว เทคโนโลยีก็จะโตเร็วเช่นกัน อย่าว่ายังงั้นยังงี้เลย ปัจจุบัน GDP ของภาคส่วนเทคโนโลยีมีค่า 62 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ปี 2030 ตลาดเทคโนโลยีอาจทำ GDP ได้ถึง 135 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อมีความเร็วเป็นตัวเร่งการพัฒนา Life Cycle ของนวัตกรรมต่างๆที่จะเกิดนั้นก็จะสั้นลง ซึ่งเป็นผลทำให้เราเห็นนวัตกรรมเกิดใหม่และดับสลายไวขึ้น เรียกว่ามาไวไปไวยิ่งกว่าเดิม

Vernor Vinge ผู้บุกเบิก A.I คาดว่า นอีก 10 ปี A.I จะฉลาดกว่ามนุษย์ โดยจะมีขนาดเล็กลงและการทำงานซับซ้อนมากขึ้น ถึงขนาดเอาไปคิดกันเล่นๆว่า นาโนเทคโนโลยีจะถูกพัฒนา จนเล็กขนาดที่ว่าเอาไปบรรจุในยาสีฟันเพื่อกำจัดคราบพลัคกันเลยทีเดียว ซึ่งถ้าเป็นจริงก็คงจะพิลึกน่าดู

อีกหนึ่งประเภทของเทคโนโลยีที่คาดการณ์กันว่าจะถูกพัฒนาแน่ๆก็คือ ด้านการแพทย์และอุปกรณ์การแพทย์ต่างๆ ปัจจุบันตลาดยาทั่วโลกมีรายได้ 8 แสนล้านเหรียญต่อปี แต่ในปี 2030 โลกของเราจะมีคนสูงวัยที่กินยามากเป็นสามเท่าของวัยรุ่นที่ใช้สารเสพติด ทำให้เทคโนโลยีการแพทย์ต้องเร่งพัฒนาตามไปด้วย โดยยาที่คาดว่าจะพัฒนามากในปี 2030 คือยารักษาอาการปวดเมื่อยตามระบบประสาท, ยาความดัน, มะเร็งกระเพาะอาหาร และโรคเบาหวาน เป็นต้น

ปัจจัย 3 ข้อข้างต้นนี้ ถือว่าเป็น Mega Trend ที่สำคัญที่สุดสำหรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ เรื่องที่ทำให้คุณรู้สึกประหลาดใจที่สุด อาจจะเป็นแค่เรื่องที่ไทยจะเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของอาเซียน เแต่เชื่อเถอะว่าอนาคตจะทำให้เกิดความประหลาดใจได้เสมอ ถ้าคุณบวกอายุตัวเองเพิ่มไป 20 ปี แล้วคิดว่าคงยังไม่ตายไปซะก่อน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณไม่รู้ไม่ได้ - เทอร์ร่า บีเคเค

บทความโดย : TerraBKK เคล็ดลับการลงทุน
TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก