ดั่งสุภาษิตที่ว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” เชื่อว่าคงเป็นสิ่งที่คนไทยน่าจะคุ้นเคยและได้ยินกันมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่บ่อยครั้ง แต่สำหรับบางคนแล้ว สุภาษิตนี้เป็นอะไรบางสิ่งที่เป็นไปได้ยากแสนยากในโลกแห่งความเป็นจริงที่มีหลากหลายองค์ประกอบมากมายที่ต้องคำนึงถึง กว่าจะประสบความสำเร็จ ตั้งแต่ สถานะทางการเงิน ธุรกิจของครอบครัว บริบทของสังคม ไปจนถึงโชคหรือดวงล้วนๆ

ทว่า หากเรามองดูให้ดีแล้ว สุภาษิตดังกล่าวได้เป็นขึ้นจริงมาแล้วในหลากหลายสัญชาติ หลากหลายผู้คนทั่วโลก ที่ผู้คนเหล่านี้เริ่มจากศูนย์ และประสบความสำเร็จไปจนถึงระดับมหาเศรษฐี เพื่อจะได้เรียนรู้ชีวิตของพวกเขาไปใช้เป็นวิธีรวยของคนเริ่มจากศูนย์ เราไปดูกันดีกว่าว่า พวกเขาเหล่านี้ทำธุรกิจอะไรกัน และมีใครบ้าง

มาร์ก เอลเลียต ซักเคอร์เบิร์ก

(cc) https://de.newsroom.fb.com/

เชื่อว่าในปัจจุบันคงไม่มีใครที่จะไม่รู้จัก มาร์ก เอลเลียต ซักเคอร์เบิร์ก อีกต่อไป ไม่ว่าจะจากภาพยนตร์ชีวประวัติของเขาอย่าง The Social Network หรือจากเว็บไซต์สุดฮิตที่คุณเพิ่งจะกดดูเมื่อ 10 นาทีที่แล้วอย่าง Facebook ซักเคอร์เบิร์ก เริ่มสร้าง Facebook ขึ้นมาในช่วงที่เขาศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกอย่าง มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

ตัวเขายังเคยได้รับข้อเสนอจาก Yahoo เพื่อขอซื้อบริษัทในปี 2006 ด้วยจำนวนเงิน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งการปฏิเสธของ ซักเคอร์เบิร์ก ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกอย่างมาก เพราะในปี 2012 Facebook มีมูลค่าในตลาดสูงถึง 16 พันล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว และในปัจจุบัน Facebook กลายเป็นช่องทางในการสื่อสารของคนทั่วโลกจำนวนมาก และคนไทยก็เช่นเดียวกัน

ฮาวเวิร์ด ชูลท์ซ

(cc) http://www.slate.com/

เรื่องราวของชูลท์ซเริ่มขึ้นมาจากในปีค.ศ. 1979 หลังจากที่เขาได้เข้าไปทำงานในตำแหน่งผู้จัดการของบริษัทผลิตเครื่องชงกาแฟสัญชาติสวีเดนอย่าง Hammarplast ซึ่งทำให้ชูลท์ซได้มีโอกาสเข้าไปพบกับบริษัทนาม Starbucks เข้าให้

ชูลท์ซเกิดความสนใจและลงทุนซื้อตั๋วเครื่องบินเดินทางไปถึงซีแอตเติลเพื่อทำความรู้จักบริษัท Starbucks ที่ว่าด้วยตัวเอง ชูลท์ซจึงได้พบกับผู้ก่อตั้งสตาร์บัคส์และทีมงานซึ่งได้ก่อตั้งบริษัทขึ้นในปี 1971 โดยเขาพยายามเสนอแนวความคิดในการเปลี่ยนร้านกาแฟธรรมดาๆ ให้กลายเป็นที่พบปะของคนในชุมชน ให้แก่ผู้ก่อตั้ง Starbucks หลังจากที่ไปได้ไอเดียมาจากร้านกาแฟในอิตาลี แต่ก็ถูกปฏิเสธ

จนกระทั่งในปี 1985 ชูลท์ซก็ได้เปิดร้านกาแฟเป็นของตัวเอง โดยตั้งชื่อว่า อิล จิออร์นาเล  (Il Giornale) ซึ่งมีความหมายว่า “การเดินทาง” ต่อมาผู้ก่อตั้ง Starbucks ก็ได้ขายร้านสาขาแรกให้กับชูลท์ซ เขาจึงได้รวมสองร้านเข้าด้วยกัน และตั้งชื่อให้ใหม่นาม “Starbucks Coffee Company” ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก (ข้อมูลจาก: walkingsucess)

ในปัจจุบันร้านกาแฟชื่อดังอย่าง Starbucks มีมากกว่า 17,000 สาขาใน 49 ประเทศ จุดเด่นของชูลท์ซ ก็คือการได้เป็นผู้ให้ เพราะตัวเขาเองได้พบเจอกับความยากแค้นและขัดสนในวัยเยาว์ เขาจึงยึดมั่นในความคิดที่ต้องการให้พนักงานของเขาได้รับการปฏิบัติอย่างมีศักดิ์ศรีและเป็นที่ยอมรับ  ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เขาได้รับการยกย่องจากหลากหลายฝ่ายอย่างมาก

ราล์ฟ รอเลน

(cc) http://www.businessinsider.com/

เห็นชื่อขนาดนี้หลายคนก็น่าจะพอรู้จักผลงานของผู้ชายคนนี้แล้วอย่างแน่นอน โดยเขาได้รับแรงบันดาลใจ มาจากการได้เป็นคนขายเนคไทของร้าน Brooks Brothers ซึ่งทำให้เขาทราบว่าผู้ชายมีความต้องการเสื้อผ้าที่มีการออกแบบซึ่ง โดดเด่น และสดสว่างมากขึ้น เขาเคยขายเนคไทในปี 1967 ได้รวมกันมีมูลค่าถึง 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ

ต่อมาเขาก็ได้เริ่มลงมือก่อตั้งบริษัทของตัวเองขึ้นมาโดยใช้ชื่อตัวของเขาเอง Ralph Lauren ซึ่งกลายแบรนด์เสื้อผ้าที่มีชื่อเสียงโด่งดังและกลายเป็นบริษัทชั้นนำด้านเสื้อผ้าไปทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน

เคนเนธ แลงกอน

(cc) http://www.theamericanhuman.com/

ชีวิตของ แลงกอน เต็มไปด้วยความยากลำบาก และขวากหนามพอสมควรเลยทีเดียว โดยผ่านการทำงานทั้งช่างท่อน้ำ พนักงานร้านอาหาร และแคดดี้กอล์ฟ เพื่อนำมาช่วยจ่ายค่าเรียน และค่าผ่อนบ้านพ่อแม่ช่วงที่เขายังเรียนอยู่ ณ มหาวิทยาลัยบั๊คเนลล์ และได้ไปเรียนต่อในด้านบริหารธุรกิจ ณ มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก

จนกระทั่งในปี 1970 ตัวเขาก็ได้ร่วมลงทุนกับ เบอร์นารด์ มาร์คัส เพื่อก่อตั้งบริษัทนาม Home Depot ซึ่งประสบความสำเร็จ และโด่งดังไปทั่วโลกอย่างมาก ตัวเขาจึงได้กลับมาบริจาคเงินให้กับมหาวิทยาลัยนิวยอร์กถึงสองครั้งในปี 1999 และ 2008 ครั้งละ 100 ล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว

ฟิล ไนต์

(cc) http://www.marketwatch.com/

ปัจจุบันบริษัทที่ ฟิล ไนต์ ร่วมก่อตั้งขึ้นมีมูลค่าในตลาดสูงถึง 91.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ และเป็นบริษัทเจ้าของสินค้ารองเท้านักกีฬาชื่อดังที่มีตัว N นำหน้า แน่นอนว่าเราจะพูดถึงแบรนด์อื่นใดไปไม่ได้นอกจาก Nike โดย ฟิล ไนต์ และโค้ชของเขา บิล โบวเวอร์แมน ร่วมกันก่อตั้ง Nike ขึ้นมาครั้งแรกโดยใช้ชื่อว่า Blue Ribbon Sports

ในช่วงแรก Blue Ribbon Sports ทำหน้าที่เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายให้กับบริษัทรองเท้าสัญชาติญี่ปุ่นชื่อดังอย่าง Onitsuka Tiger รองเท้า Nike คู่แรกถูกผลิตให้กับนักกีฬา โอทิส เดวิส  ซึ่งได้คว้าสองเหรียญทองจากโอลิมปิคในปี 1960 ปัจจุบัน Nike ได้กลายเป็นแบรนด์รองเท้าชั้นนำทั่วโลกอย่างปฏิเสธไม่ได้ไปแล้ว (ข้อมูลจาก Wikipedia)

แจ็ค หม่า

(cc) http://aspire.sharesinv.com/

ชื่อของ แจ็ค หม่า ในปัจจุบันได้โด่งดังไปทั่วทุกมุมโลก รวมถึงประเทศไทยเช่นเดียวกัน ชีวิตของแจ็ค หม่า เริ่มต้นขึ้นมาจากการเป็นเพียงครูสอนภาษาอังกฤษ ทว่าตัวเขาได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและโอกาสทางธุรกิจอันมากมายของอินเทอร์เน็ต ในช่วงที่เขาไปที่สหรัฐอเมริกาในปี 1995 และนำมาปรับใช้กับธุรกิจด้านอี-คอมเมิร์ซของตนเองในปี 1999

โดยธุรกิจที่โด่งดังที่สุดของเขาก็คือเว็บอี-คอมเมิร์ซอย่าง Alibaba พร้อมทำสถิติการขายหุ้น ให้กับนักลงทุนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) มูลค่าสูงสุดในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ด้วยมูลค่ามากกว่า 25,000 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 8 แสนล้านบาท เลยทีเดียว ปัจจุบันบริษัทในเครือของกลุ่ม Alibaba มีมากมายหลายประเภท เช่น AlipayTaobaoEtao และ Aliyun เป็นต้น

ลอว์เรนซ์ แลร์รี เพจ

(cc) http://www.afrique-it.com/

คงไม่มีใครที่จะไม่รู้จักบริษัทสัญชาติอเมริกันชั้นนำอย่าง Google ซึ่งกลายเป็นเพื่อนคู่ใจของทั้งนักเรียน นักศึกษา และคนทำงานทุกหนทุกแห่ง ซึ่งผู้ที่เริ่มตำนานของ Google ขึ้นมาก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น แลร์รี่ และเพื่อนของเขา เซอร์เกย์ บริน ซึ่งก่อตั้งโปรเจคนาม Blackrub ขึ้นมาในปี 1996 ระหว่างการศึกษาในมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด

ในช่วงแรกระบบการค้นหาของพวกเขาใช้เซิฟเวอร์ของมหาวิทยาลัยเป็นตัวทำงาน ก่อนที่พวกเขาจะลาออกมาจากสแตนฟอร์ด และก่อตั้งบริษัท Google ซึ่งเป็นการเล่นคำกับคำว่า “googol” ที่เป็นศัพท์เทคนิคทางคณิตศาสตร์ที่หมายถึง เลขหนึ่งตามด้วยเลขศูนย์จำนวน 100 ตัว 

ปัจจุบัน Google เติบโตและพัฒนาไปอย่างมาก มีผลงานทั้งในด้านของการโฆษณา และระบบปฏิบัติการบนโทรศัพท์อย่าง Android อีกด้วย

อิงวาร์ คัมพราด

(cc) https://www.tharawat-magazine.com/

อิงวาร์ คัมพราด เริ่มก่อตั้งบริษัทจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์นาม IKEA ขณะมีอายุเพียง 17 ปี ณ ปี ค.ศ. 1943 ด้วยเงินที่ได้รับมาจากพ่อของเขาเพื่อเป็นรางวัลสำหรับการเรียนจบ

คำว่า IKEA ย่อมาจาก  Ingvar Kamprad Elmtaryd Agunnaryd ซึ่งเป็นการรวมชื่อของตัวเขา ชื่อฟาร์มในครอบครัวของเขา และหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุด

ในช่วงแรก IKEA เป็นเพียงแค่บริษัทรับสั่งของผ่านทางเมล์เท่านั้น ก่อนที่จะเริ่มขายเฟอร์นิเจอร์อย่างจริงจัง 5 ปีให้หลัง และเปิดหน้าร้านอย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี 1958 และประสบความสำเร็จจนขยายสาขาไปเปิดยังประเทศอื่น ๆ อีกมากมายหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยเช่นเดียวกัน

บิล เกตส์

(cc) https://www.digitaltrends.com/

หากพูดถึงมหาเศรษฐีที่เริ่มมาจากศูนย์แล้ว คงจะเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่พูดถึง บิล เกตส์ นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จระดับโลก และผู้ให้กำเนิดบริษัทชื่อดังอย่าง Microsoft เจ้าของผู้สร้างระบบปฏิบัติการในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันทั่วบ้านทั่วเมืองและทั่วโลกอย่าง Windows

ตัวเกตส์ เริ่มต้นเส้นทางการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตั้งแต่มีอายุได้แค่ 13 ปี แรกเริ่มตัวเขาและเพื่อนตั้งแต่วัยเยาว์ พอล อัลเลน ได้ก่อตั้งบริษัทของตัวเองครั้งแรกในปีค.ศ. 1972 โดยใช้ชื่อในขณะนั้นว่า Traf-O-Data ก่อนที่จะไปก่อตั้ง Microsoft อย่างเป็นตัวเป็นตน 3 ปีต่อมา ซึ่งชื่อของบริษัทนั้น แรกเริ่มตัวอัลเลนเป็นคนคิดค้นชื่อ Micro-Soft ขึ้นมา

บริษัท Microsoft ประสบความสำเร็จและมีผลงานต่างๆ มากมาย เช่น ระบบปฏิบัติการ Windows ดังที่กล่าวไปแล้ว เครื่องเล่นเกม Xbox ไปจนถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ มากมาย

ทางด้านตัว บิล เกตส์ เองก็ได้บริจาคเงินการกุศลให้กับองค์กรต่างๆ มากมาย พร้อมปฏิญานตนว่าจะบริจาคเงินอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของที่เขามีให้กับการกุศลหลังจากเขาเสียชีวิตลงอีกด้วย

โอปราห์ วินฟรีย์

(cc) http://www.toptenz.net/

หากพูดถึงพิธีกรหรือผู้จัดรายการที่โด่งดังและประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในอเมริกาแล้ว เชื่อว่าชื่อของโอปราห์ วินฟรีย์ ต้องมีชื่อติดอยู่เป็นอันดับต้นๆ ในทุกการจัดอันดับอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตามชีวิตของ โอปราห์ วินฟรีย์ ในวัยเยาว์ กลับเต็มไปด้วยความลำบากมากมาย เธอเกิดมาท่ามกลางครอบครัวที่ค่อนข้างยากจน พร้อมกับปัญหาในครอบครัวต่างๆ มากมาย แต่อุปสรรคเหล่านี้ก็ไม่ได้หยุดเธอให้กลายเป็นผู้สื่อข่าวโทรทัศน์สัญชาติแอฟริกัน อเมริกันคนแรก ด้วยอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น

จนกระทั่งในปีค.ศ. 1983 วินฟรีย์ ก็ได้ย้ายไปทำงานที่รัฐชิคาโก้และทำรายการทอล์คโชว์ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น The Oprah Winfrey Show รายการของเธอรายการนี้ ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม

กระทั่งได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในรายการทีวีที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลหลายต่อหลายครั้ง และเป็นหนึ่งในรายการทอล์คโชว์ช่วงเช้าที่มีอายุยืนมายาวนานมากที่สุดตลอดกาล ได้รับรางวัลจากเอ็มมี่ถึง 47 ครั้งจน วินฟรีย์ เลือกที่จะหยุดส่งชื่อเข้าชิงตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นไป รายการ The Oprah Winfrey Show ได้ออกอากาศครั้งสุดท้ายในวันที่ 25 พฤษภาคม 2011 ส่งผลให้ตอนสุดท้ายดังกล่าวได้รับเรตติ้งสูงสุดในรอบ 17 ปี

จากมหาเศรษฐีทั้ง 10 คน จะเห็นได้เลยว่าการเริ่มต้นจากศูนย์ไปจนถึงมหาเศรษฐีไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แต่ขึ้นอยู่กับความพยามของตัวเราเอง เพราะมหาเศรษฐีในการจัดอันดับครั้งนี้จำนวนไม่น้อยที่ไม่ใช่แค่เริ่มจากศูนย์ แต่ยังมีเส้นทางวัยเยาว์ที่ยากลำบาก แต่พวกเขาเหล่านี้ก็ใช้ความยากลำบาก แรงบันดาลใจ หรือความถนัดของตัวเอง เปลี่ยนมาเป็นโอกาสทางธุรกิจ นำไปสู่เส้นทางการประสบความสำเร็จในที่สุด

ขอบคุณข้อมูลจาก rabbitfinance.com