ถ้าเอ่ยถึงประเทศที่เป็นผู้นำของโลก ภาพของ อเมริกา คงฉายแว่บเข้ามาในความคิดของใครหลายคนอย่างแน่นอน มีหลายประการด้วยกัน ที่ทำให้อเมริกาก้าวขึ้นสู่ประเทศมหาอำนาจที่กรุยทางให้กับประเทศต่างๆทั่วโลกมาอย่างช้านาน อีกหนึ่งด้านนั่นคือการ พัฒนาอาคาร ให้เท่าทันกับกระแสการพัฒนาในแต่ละด้าน ซึ่งในที่นี้ก็รวมด้านอสังหาริมทรัพย์ไปอย่างแน่นอน อะไรคือเหตุผลที่ทำให้เมืองต่างๆในประเทศอเมริกา ก้าวหน้าไปอย่างไม่มีหยุดพัก ทั้งๆที่ที่ดินมีเท่าเดิม แต่การพัฒนาอาคารและที่ดินยังไปได้อย่างต่อเนื่อง TerraBKK Research นั้นได้นำหนึ่งในปัจจัยความสำเร็จของอเมริกามาส่งต่อให้ข้อมูลกัน
เส้นทางการพัฒนาเมืองของอเมริกานั้นเดินมาอยู่ในจุดที่ ประชากรเพิ่มขึ้นมหาศาล การเพิ่มขึ้นของการก่อสร้างอาคาร และคอนโดมิเนียมสูงสุดสายตากลายเป็นเหมือนดาวประดับฟ้า ต่อมามีการสำรวจพบว่าความต้องการรักษาอาคารเก่าผสมผสานไปกับการพัฒนาอาคารใหม่ กลายเป็นสิ่งที่ประชากรอเมริกากว่า 50 เมืองนั้นต้องการ National Trust for Historic Preservation’s Green Lab องค์กรที่ทำงานด้านการอนุรักษ์และรักษาสภาพอาคารและความเป็นเมืองเก่า ได้จัดทำแผนที่ข้อมูลอาคารที่บันทึกอาคารทั้งเก่าและใหม่ทุกอายุขัยการใช้งานในชื่อโครงการ Atlas of ReUrbanism ซึ่งจัดลำดับอาคารโดยแยกระดับคะแนนตามอายุ ขนาด วัสดุ และการใช้งานของอาคารในแต่ละพื้นที่ และจากผลสำรวจของรายงานพบว่า โอกาสในการพัฒนาอาคารที่เกิดใหม่นั้น มีน้อยกว่าการพัฒนาอาคารที่อยู่ในย่านผสมผสานระหว่างอาคารเก่าและใหม่ เนื่องจากมีที่ดินที่หลงเหลือให้พัฒนาไม่มากนัก แต่กลับมีอาคารเก่าที่อยู่ในทำเลที่มีศักยภาพอยู่มากกว่า

ขอบคุณภาพจาก : https://nextcity.org//2015/12/25/

พื้นที่ที่มีการผสมผสานระหว่างอาคารเก่า อาคารชนาดเล็ก และอาคารเก่าที่มีการปรับปรุงใหม่ เป็นกลุ่มอาคารในพื้นที่ที่ได้รับคะแนนมากที่สุดจากการประเมิน ซึ่งมีหลักการประเมินจากโอกาสและแนวโน้มของการพัฒนาต่อในอนาคต ซึ่งอาคารกลุ่มพวกนี้มีท่าทีว่าจะสามารถพัฒนาได้อย่างหลากหลายมากขึ้น อีกทั้งราคาก็ไม่สูงขึ้นมากเท่ากับย่านที่มีแต่อาคารใหม่ ซึ่งเป็นสัญญานว่าภาครัฐจะพัฒนาพื้นที่นี้ได้โดยไม่เกินความสามารถ นอกจากนั้นผลของการทำโครงการ Atlas of ReUrbanism ยังบอกถึงจำนวนของธุรกิจขนาดเล็กที่มีอยู่ถึง 3.2 ล้านงานใน 50 เมือง โดยงานกว่า 59% นั้นอยู่ในเมืองที่มีค่าระดับคะแนนสูง (เมืองที่มีการผสมผสานระหว่างอาคารเก่า อาคารขนาดเล็ก และอาคารที่พัฒนาขึ้นมาใหม่) อีกทั้งที่อยู่อาศัยสำหรับคนที่มีรายได้ระดับกลางทั้งหมดกว่า 202,767 ยูนิต โดย 56% ได้ถูกพบในเมืองที่มีค่าระดับคะแนนสูงเช่นกัน ซึ่งกระแสการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้ปานกลางไปจนถึงน้อยนั้น เป็นกระแสที่มีแนวโน้มว่าจะมาแรงในอนาคตในทุกเมืองที่ได้ศึกษา นั่นคือเมือง Detroit, Chicago, Atlanta และ Boston

ขอบคุณภาพจาก : https://nextcity.org//2015/12/25/

“ในหลายๆเมือง เราจะพบที่อยู่อาสัยสำหรับคนที่มีรายได้ปานกลางถึงน้อยประมาณ 1-2 ยูนิต อยู่ในทุกๆบล็อคอาคารที่มีส่วนผสมระหว่างอาคารเก่า อาคารเล็ก และอาคารเก่าที่มีการปรับปรุงใหม่” โดยมีชื่อเรียกกรณแบบนี้ว่า “การคัดกรอง (filtering)” ซึ่งจะมาในรูปแบบการเพิ่มขึ้นที่มากกว่าของที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้ปานกลางเมื่อเปรียบเทียบกับอาคารใหม่ โดยใน 50 เมืองที่ได้รับการสำรวจนั้นพบว่า อาคารที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้ปานกลางจนถึงน้อยในทุกเมือง มีความสัมพันธ์กับการกระจายของงาน นับเป็นพื้นที่ต่อตารางฟุตเลยทีเดียว พื้นที่ที่มีค่าระดับคะแนนสูง ยังมีแนวโน้มที่จะรองรับผู้อยู่อาศัยและผู้ประกอบการที่จะมีความหลากหลายในอนาคตได้ ในจำนวน 2 เมืองจาก 50 เมืองที่ได้ศึกษา คือเมือง Pasadena และ Miami พบว่ามีผู้ประกอบการที่เป็นผู้หญิงมากขึ้น และมีชนกลุ่มน้อยหรือชาวต่างชาติที่ครอบครองอาคารมากขึ้น ในขณะที่บริเวณ เมือง Portland รัฐ Maine มากกว่า 80% ของกิจการที่มีความเสี่ยงอยู่ในย่านที่มีค่าระดับคะแนนสูง แต่ในแต่ละย่านเหล่านี้นั้น ต่างมีความสัมพันธ์ในด้านธุรกิจที่สามารถสนับสนุนกันและกันได้เปฺนอย่างดี

ขอบคุณภาพจาก : https://nextcity.org//2015/12/25/

โครงการ Atlas of ReUrbanism ยังได้ระบุอีกว่า เมืองที่ใหญ่ที่สุด 5 เมืองจาก 50 เมืองที่ได้ทำการสำรวจนั้น ต่างมีความแตกต่างของความเก่าใหม่ของอาคาร และมีการจัดการการควบคุมและรักษาอาคารเหล่านี้ออกมาในรูปแบบนโยบายเรียบร้อยแล้ว ใน Los Angeles เป็นเมืองที่มีอาคารเก่าที่ถูกปรับปรุงมากที่สุด ผู้หญิงที่เป็นผู้ประกอบการมากที่สุด และชาวต่างชาติที่เข้าครอบครองอาคารมากที่สุด ซึ่งได้มีการ rehabbing หรือการฟื้นฟูที่อยู่อาศัยจากอาคารเก่าหรือพื้นที่ทิ้งร้างใหม่ ซึ่งถูกมองว่าเป็นสัญญานของกระแสการพัฒนาอาคารในอนาคต โดยจะสามารถรองรับจำนวนประชากรและแรงดึงดูดได้ดีกว่าการพัฒนาอาคารใหม่ขึ้นมา

ขอบคุณภาพจาก : https://nextcity.org//2015/12/25/

ด้วยเหตุผลและเรื่องราวทั้งหมดเหล่านี้ จึงสามารถตอบคำถามว่าทำไม National Trust for Historic Preservation’s Green Lab และอีกหลายเมืองในสหรัฐอเมริกา ถึงมองว่าการพัฒนาอาคารเก่าหรือการฟื้นฟูพื้นที่ที่ถูกทิ้งร้างนั้น เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและให้ความยั่งยืนมากกว่าการพัฒนาอาคารขึ้นมาในพื้นที่ใหม่ -- เทอร์ร่า บีเคเค

บทความโดย : TerraBKK เคล็ดลับการลงทุน TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก