ช่วงเวลาเข้าสู่ไตรมาสที่ 4 ของปีเช่นนี้ ธุรกิจที่เรียกช่วงนี้ว่าเป็นช่วงที่ดีที่สุดของปี หนึ่งในนั้นคือธุรกิจโรงแรม เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวโดยตรง ทำหน้าที่รองรับการเข้าพักอาศัยชั่วคราวของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและชาวต่างชาติ แม้ประเทศไทยจะมีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยว แต่นั้นคงไม่เพียงพอ หากกิจการไม่มี กลยุทธ์ธุรกิจ ที่จะสามารถบริหารโรงแรมให้อยู่รอด ภายใต้สถานการณ์ตลาดที่มีการแข่งขันสูงเช่นปัจจุบันนี้ได้

TerraBKK นำเสนอ ข้อมูลการดำเนินธุรกิจโรงแรม ไม่ว่าจะเป็น กลยุทธ์ธุรกิจ , ผลการดำเนินงาน และตัวเลขทางการเงินต่าง ๆ ของ 3 เครือโรงแรมชื่อดังของประเทศ ได้แก่ เซ็นทารา CENTARA , ดุสิตธานี DUSIT THANI และ ดิ เอราวัณ THE ERAWAN ทั้งหมดนี้เป็นบริษัทจำกัดมหาชน จึงขออ้างอิงข้อมูลจากรายงานประจำปี 2558 เปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและภาคประชาชน รายละเอียดดังนี้

เซ็นทารา CENTARA

เริ่มต้นเปิดธุรกิจโรงแรมแห่งแรกขึ้นเมื่อปี 2526 ชื่อว่า “โรงแรมไฮแอทเซ็นทรัลพลาซา” หลังจากนั้น ปี 2533 ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และดำเนินธุรกิจทั้งภายในประเทศและต่างประเทศเรื่อยมาจนปัจจุบัน กลยุทธ์ธุรกิจ อยู่ในแนวทางที่เรียกว่า “Asset Right และ Asset Light” ให้ความสำคัญในเรื่องการบริหารกระแสเงินสดคงเหลือและการบริหารความสามารถในการก่อหนี้ เพื่อรองรับและสนับสนุนการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ สำหรับการลงทุนในประเทศจะเน้นจุดที่เป็นศูนย์กลางการค้าและเศรษฐกิจเป็นสำคัญ

ปี 2558 สำหรับ โรงแรมที่เป็นการลงทุนและบริหารด้วยตนเองภายใต้เครื่องหมายการค้า “เซ็นทารา” มีจำนวนทั้งสิ้น 13 โรงแรม ครอบคลุมพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญในประเทศ ได้แก่ กทม. , สมุย, ภูเก็ต ,หาดใหญ่ , แม่สอด ,กระบี่ และพัทยา จำนวนห้องพักรวมทั้งสิ้น 3,560 ห้อง สำหรับต่างประเทศ ได้แก่ เกาะมัลดีฟส์ 2 แห่ง จำนวนห้องพักรวม 252 ห้อง โดยภาพรวมเกี่ยวกับราคาห้องพักเฉลี่ยต่อคืน (Average Room Rate) และ อัตราการเข้าพักเฉลี่ย (Average Occupancy Rate) ของโรงแรม สำหรับปี 2558 มีดังนี้

นอกจากนี้ บริษัทยังดำเนินธุรกิจรับจ้างภายใต้สัญญาบริหารโรงแรม (Hotel Management Agreement) เครื่องหมายการค้า “เซ็นทารา” เป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับบริษัท โดยไม่ต้องแบกภาระต้นทุนการพัฒนาโรงแรม จำนวนหลากหลายแห่งทั้งในและต่างประเทศ เช่น โรงแรมเซ็นทารา แซนดี้บีชรีสอร์ท ดานัง เวียดนาม, โรงแรมเซ็นทราทวมรีสอร์ทเซมินยัค บาหลี , โรงแรมเซ็นทารา ซีย์แซนด์ รีสอร์ทและสปา ศรีลังกา เป็นต้น สำหรับตัวเลขทางการเงินสำคัญช่วงปี 2555 - ปัจจุบัน มีดังนี้

ดุสิตธานี DUSIT THANI

เริ่มต้นประกอบธุรกิจโรงแรมเมื่อปี 2509 โดยโรงแรมแห่งแรกมีชื่อว่า “โรงแรมดุสิตธานี” ต่อมาได้จดทะเบียนเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อปี 2518 กลยุทธ์ธุรกิจ จะเน้นใช้นโยบายเชิงรุก (Growth Strategy) ควบคู่ไปกับการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ (Cost Efficiency) ไม่ว่าจะเป็นการขยายธุรกิจด้านการรับจ้างบริหาร ที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งการขยายตัวด้านการรับบริหารโรงแรมในต่างประเทศจะช่วยกระจายความเสี่ยง หากเกิดเหตุการณ์ทีมีผลกระทบต่อธุรกิจได้ ทั้งนี้ ปัจจุบัน บมจ. ดุสิตธานี ประกอบธุรกิจหลักคือ ธุรกิจโรงแรม, การรับจ้างบริหารโรงแรม และการให้สิทธิในการดำเนินการภายใต้เครื่องหมายการค้า “ดุสิตธานี” (Licensing)

ปี 2558 มีธุรกิจโรงแรมรวม 10 แห่ง จำนวนห้องพัก 2,869 ห้อง ภายใต้การบริหารงานของกลุ่มบริษัท ได้แก่ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ดูแลพื้นที่กรุงเทพและพัทยา ,บริษัท ดุสิต ไทยพร็อพเพอร์ตี้ส์ จำกัด (มหาชน) ดูแลกลุ่ม “ดุสิตปริ๊นเซส” ,บริษัท ดุสิต แมนเนจเม้นท์ จำกัด จัดการทรัพย์สินของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานี นอกจากนี้ Philippine Hoteliers, Inc บริหารโรงแรมดุสิตธานี มะนิลา และ DMS Property Investment Private Limited บริหารโรงแรมดุสิตธานี มัลดีฟส์ รายละเอียดอัตราการเข้าพักในช่วงปี 2556-2558 มีดังนี้

ด้านธุรกิจรับบริหารโรงแรม ภายใต้มาตรฐานเครื่องหมายการค้า แบ่งออกเป็น “ดุสิตธานี” ,“ดุสิตดีทู”, “ดุสิตปริ๊นเซส” ,“ดุสิตเดวาราณา” ,“ดุสิตเรสซิเด้นซ์” ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ฟิลิปปินส์, อียิปต์, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, สหรัฐอเมริกา,ออสเตรเลีย, อินเดีย,เคนย่า ,จีน ,มองโกเลีย ,ภูฏาน เป็นต้น อาทิเช่น โรงแรมดุสิตธานี อาบู ดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ , โรงแรมดุสิตดีทู ฟูดู บินฮู ฉางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน , โรงแรมดุสิตปริ๊นเซส เซบู ซิตี้ ประเทศฟิลิปปินส์,โรงแรมดุสิตเดวาราณา นิวเดลี ประเทศอินเดีย เป็นต้น สำหรับตัวเลขทางการเงินสำคัญช่วงปี 2555 - ปัจจุบัน มีดังนี้

ดิ เอราวัณ THE ERAWAN

เริ่มก่อตั้งบริษัทขึ้นปี 2525 เดิมมีชื่อว่า บจ. อัมรินทร์ พลาซ่า ดำเนินธุรกิจปล่อยเช่าอาคารสำนักงานและศูนย์การค้า ต่อมาปี 2531 ได้จดทะเบียนเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลยุทธ์ธุรกิจ ของ ดิ เอราวัณ จะดำเนินงานภายใต้ พันธกิจ “ขยายเครือข่ายโรงแรมที่มีคุณภาพในประเทศไทย ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้ผู้ถือหุ้นและเกิดประโยชน์แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุดฝ่ายอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง” เป็นเหตุผลให้ประเภทโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ ดิ เอราวัณ มีความหลากหลากอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมระดับ Luxury Hotel , Luxury resort and spa, Economy Hotel รวมทั้ง Budget Hotel ที่กำลังขยายตัวและสร้างแบรนด์ตนเอง โดยใช้ชื่อว่า “HOP INN”

ปัจจุบันมีโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 37 โรงแรม จำนวนห้องพักรวม 5,984 ห้อง สามารถแบ่งการบริหารงานโรงแรมในเครือออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มบริหารโดยบุคคลภายนอกผู้เป็นเจ้าของแบรนด์ อาทิเช่น Courtyard ,Marriott, Holiday Inn เป็นต้น กลุ่มบริหารเองภายใต้แบรนด์บุคคลภานนอก ACCOR อย่างแบรนด์ Mercure , Ibis เป็นต้น รวมทั้ง กลุ่มบริหารเองภายใต้แบรนด์ตนเองชื่อ HOP INN ประเภท Budget จับกลุ่มลูกค้านักธุรกิจที่ต้องเดินทางติดต่อตามจังหวังต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายต้องการขยายโรงแรม HOP INN เพิ่มอีก 22 แห่งในปี 2559 นี้

สำหรับตัวเลขทางการเงินสำคัญช่วงปี 2555 - ปัจจุบัน มีดังนี้

บทความโดย : TerraBKK เคล็ดลับการลงทุน TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก