ฉันเป็นมนุษย์เงินเดือน ทำงานด้านคอมพิวเตอร์ที่บริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพ แต่ฉันก็เป็นผู้หญิงที่ชอบเดินทาง ชอบสัมผัสประสบการณ์เเปลกใหม่ เป็นการเติมสีสันให้ชีวิต สัญญากับตัวเองไว้ว่าต้องไปเที่ยวต่างประเทศอย่างน้อยปีละครั้ง ค่อยๆทำตามความฝันไปเรื่อยๆ ออกไปเห็นโลกกว้าง เปิดหูเปิดตา พบเจอผู้คนที่ต่างกันทั้งภาษาเเละวัฒนธรรม คงเป็นประสบการณ์ที่สนุกดีอ
“แรงบันดาลใจ” สิ่งที่ผลักดันให้ฉันตั้งเป้าหมายและลงมือทำมัน หลังเรียนจบมหาลัย ฉันเริ่มทำงานเก็บเงินเพื่อทำตามความฝัน มันต้องมุ่งมั่นและตั้งใจจริงๆ แล้ววันนึงจะเห็นสิ่งที่อดทนอดกลั้นสะสมมาค่อยๆเติบโตจนเป็นความฝันที่ใหญ่ การทำงานเกือบๆ 5 ปี ฉันท่องเที่ยวทั้งหมด 16 ประเทศ 4 ทวีป ฉันเชื่อว่าชีวิตของคนเรามีหลายด้าน ต้องพยายามทำให้สมดุลกัน การทำงานก็ต้องพัฒนาตัวเองไปด้วย แต่ก็ไม่ใช่ทำแต่งานอย่างเดียวจนไม่สนใจชีวิตด้านอื่น คนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อทำงานและตายไป แล้วทำยังไงถึงจะได้ไปเที่ยวต่างประเทศอย่างน้อยปีละครั้ง?
#1 ตั้งเป้าหมาย
ก่อนอื่นตั้งเป้าหมายว่า “ต้องไปเที่ยวต่างประเทศอย่างน้อยปีละครั้ง” ฝังความคิดนี้ให้ลึกไปยังรากสมอง มุ่งมั่นและจริงจัง จากนั้นเลือกสถานที่ที่อยากไปในแต่ล่ะปีก่อนเลย ส่วนใหญ่ฉันจะเลือกประเทศตั้งแต่ปลายปีก่อนปีถัดไป จะได้เตรียมตัวล่วงหน้านานๆ ถ้าเจอตั๋วโปรจะได้รีบสอยทันที และได้เตรียมตัวเรื่องเงินที่ต้องใช้ในแต่ล่ะทริป
#2 เลือกช่วงวันที่อยากจะไป
การเป็นมนุษย์เงินเดือน วันหยุดช่างมีน้อยนิดซะเหลือเกิน (เศร้าแป๊ป) โดยปกติลาพักร้อนกันได้แค่ 10 วันต่อปีเท่านั้น เลยต้องวางแผนล่วงหน้ากันหน่อยว่าอยากไปช่วงไหน ปกติฉันจะบอกหัวหน้าแต่เนิ่นๆ อย่าลืมดูให้ดีว่าช่วงที่อยากไป สภาพอากาศเป็นยังไงบ้าง ถ้าไปแล้วเจอแต่ฝนตกคงจะไม่สนุกเท่าไร แต่บางครั้งมันก็เลือกไม่ได้เนอะ
#3 หาข้อมูลเรื่องค่าใช้จ่าย
หลังจากเลือกประเทศและช่วงวันที่อยากไปได้แล้ว ลองหาข้อมูลค่าใช้จ่ายคร่าวๆพร้อมจำนวนวันที่อยากไป ยิ่งไปเที่ยวหลายวัน งบก็ต้องเพิ่มขึ้น อยากเที่ยวสไตล์แบ็กแพ็กเกอร์ สไตล์หรูหรา หรือว่าแบบไหน? ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่ากิจกรรม? ลองประเมินค่าใช้จ่ายคร่าวๆดูจะได้รู้ว่าต้องมีเงินเท่าไร

ก็ตั้งงบไว้สัก 12,000 ตีเป็นตัวเลขกลมๆ บวกงบฉุกเฉินเผื่อไว้เป็น 15,000 บาท

#4 เริ่มออมเงิน
ลองดูว่าต่อเดือนมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง จดรายรับรายจ่ายทำให้รู้การเข้าออกเงินว่าเราหมดเงินไปกับอะไรบ้าง และมันจำเป็นมั้ย? บางทีก็เสียเงินไปกับขนมและเครื่องดื่ม ที่จ่ายไปเล็กๆน้อยๆพวกนี้ทุกวัน รวมกันต่อเดือนก็เยอะอยู่ ตัวอย่าง อยากเก็บเงิน 15,000 บาท เพื่อไปฮ่องกงตอนเดือนธันวา เริ่มเก็บเงินตั้งแต่มกราก็จะตกวันล่ะ 45.05 บาท เท่ากับออม 1,350 บาทต่อเดือน เอาจริงๆ จะหาทางเก็บเงินวันล่ะ 45 บาทไม่ได้เลยเหรอ?
● มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่หมดเงินไปกับกาแฟ สมมติเเก้วล่ะ 30 บาท กินทุกวันก็ 900 บาทแล้ว แต่ถ้างดกินกาแฟสัก 5 เดือน มีเงิน 4,500 บาทก็ไปนครวัด นครธมได้
● ค่าอาหาร ค่าสังสรรค์ เป็นอีกรายจ่ายที่สามารถลดได้ ลองทำอาหารกินเองสิ ประหยัดเงินและสะอาด แถมกินแล้วก็อิ่มด้วย
● ค่าใช้จ่ายอื่นๆ อย่างเช่นพวกอินเตอร์เน็ต ค่าโทรศัพท์ ลดได้มั้ย? เมื่อก่อนฉันใช้อินเตอร์เน็ต (3G) เดือนล่ะ 430 บาท ตอนนี้ลองเปลี่ยนไปใช้เดือนล่ะ 106 บาท เห็นมั้ยลดไป 4 เท่า!
 
#5 หมั่นเช็คโปรโมชั่นอยู่เสมอ
แรงบันดาลใจเต็มเปี่ยมแล้ว เงินก็ออมแล้ว ระหว่างที่ออมเงินไปเรื่อยๆ อาจจะเจอโปรโมชั่นตั๋วเครื่องบินหรือที่พักก็ได้ ยิ่งตอนนี้โปรตั๋วเครื่องบินออกมากันแทบจะทุกวัน ที่พักถ้าจองล่วงหน้านาน เช่น จองผ่านเว็บ booking.com หรือ agoda.com บางครั้งเจอลดราคา 50% ก็จองแบบยังไม่ต้องจ่ายเงิน
#6 จองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก วางแผนเที่ยว ทำวีซ่า (ถ้ามี)
หลังผ่านมาครึ่งทางการออมเงิน จะมีเงินส่วนนึงไว้ซื้อตั๋วเครื่องบินได้ เจอโปรโมชั่นก็รีบสอยเลย จองที่พักแบบไม่ต้องจ่ายเงิน ถ้าประเทศที่ไปต้องทำวีซ่าก็เริ่มทำก่อนออกเดินทางได้เลย หรือถ้ามีกิจกรรมที่อยากทำก็จองล่วงหน้า จากนั้นเริ่มวางแผนเที่ยวให้ละเอียดมากขึ้น วางแผนเที่ยวเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่ฉันชอบมาก แค่เริ่มวางแผนเที่ยวก็มีความสุขอย่างบอกไม่ถูกแล้ว : )
#7 ซื้อประกันเดินทาง
ถ้าไปเที่ยวใกล้ๆสั้นๆอาจจะไม่จำเป็นเท่าไร แต่ถ้าไปประเทศที่ไกลๆซื้อประกันไว้หน่อยก็ดีนะ หลายๆคนคิดว่า “จะซื้อประกันทำไม ฉันแข็งแรงอยู่แล้ว ไม่ป่วยหรอก” จริงๆประกันเดินทางมันคุ้มครองมากกว่าการเจ็บป่วย แต่มันคุ้มครองไปถึงกระเป๋าหาย เที่ยวบินถูกยกเลิกหรือดีเลย์ แน่นอนไม่มีใครรู้ล่วงหน้าหรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น
#8 เก็บกระเป๋า
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็เริ่มเก็บกระเป๋าเลย เตรียมกล้อง เสื้อผ้า รองเท้า จะแบกเป้หรือลากล้อหมุนๆ ตามสบายเลยจ้า
#9 ออกเดินทาง
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง ได้เวลาออกเดินทางแล้ว! เที่ยวให้สนุก ออกไปผจญภัย เก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้เต็มที่ อย่าลืมพาสปอร์ตก่อนออกจากบ้านล่ะ : D
อีกอย่างคือ แต่ละคนมีต้นทุนชีวิตไม่เท่ากัน เงินเดือน ภาระ อะไรก็ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าจะทำยังไงให้เหมาะสม โดยไม่กระทบกับชีวิตประจำวัน มีน้อยก็เที่ยวใกล้ มีเยอะก็เที่ยวไกล แต่ละที่ก็ให้ประสบการณ์เหมือนกัน อย่าไปเปรียบเทียบกับคนอื่น การเที่ยวมันเป็นส่วนเติมเต็มของชีวิต ถ้าการเงินมั่นคงในระดับหนึ่งก็มีทางเลือกมากขึ้น แต่ถ้าการเงินยังไม่แน่น เที่ยวที่ใกล้ๆก็พอ ถ้าอยากรู้ว่า ทำยังไงถึงจะได้ไปเที่ยวบ่อยแถมมีเงินออมด้วย ก็ต้องรู้จักการบริหารเงิน ลองอ่านดูได้ที่นี่ แต่มันจะไม่เกิดผลเลยถ้าไม่มี “วินัย” ทุกอย่างต้องมีจุดเริ่มต้น ค่อยๆลองทำแล้วจะเห็นว่า “การเก็บเงินไปเที่ยวไม่ยากอย่างที่คิด” เที่ยวตามกำลังทรัพย์เงินในกระเป๋า เที่ยวอย่างมีสติ ออมเงินเผื่ออนาคตไปพร้อมๆกัน ระลึกไว้เสมอว่า การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ


หมายเหตุ : ภาพประกอบบทความ บางภาพไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาแต่อย่างใด

ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก :