"มนุษย์เงินเดือน" รวยได้ ด้วยวิถีการลงทุนแบบ DCA

 

หลาย ๆ คนที่เข้ามาอ่านบทความนี้คงมีรู้สึกอย่างหนึ่งที่เหมือนกันนั่นก็คือ อยากที่จะมีความมั่งคั่งทางการเงิน อยากที่จะรวย อยากที่จะมีเงินเก็บ แต่ยังมีข้อสงสัยในใจอยู่ว่าเราจะมีวิธีการลงทุนในรูปแบบไหนที่สามารถให้ผลตอบแทนแก่เราได้ดีบ้าง ในวันนี้ TerraBKK Research จึงอยากจะเสนอรูปแบบการลงทุนอีกรูปแบบหนึ่งที่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย และได้รับการพิสูจน์จากนักลงทุนผู้ที่ประสบความสำเร็จหลายคนแล้วว่าสามารถทำได้จริงและสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง รูปแบบการลงทุนนี้มีชื่อ DCA (Dollar Cost Average) หรือชื่อไทยว่า “การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน” ก่อนอื่นต้องปรับความเข้าใจก่อนว่า “การลงทุนอาจจะไม่ได้ทำให้นักลงทุนสามารถรวยได้ในชั่วข้ามคืน แต่การลงทุนที่ดีและถูกต้องต่างหากที่จะสามารถสร้างความมั่งคั่งให้แก่นักลงทุนได้ในระยะยาว”

 

Dollar Cost Average หรือ การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน ใช้หลักการลงทุนที่เน้นการทำอย่างสม่ำเสมอ ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน ให้อารมณ์เหมือนการฝากธนาคาร แต่เปลี่ยนจากธนาคารเป็นการลงทุนสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง นั่นก็คือ "การลงทุนในตลาดหุ้น" จำนวนเงินลงทุนที่จะลงทุนในแต่ละครั้งอาจจะเริ่มต้นจากเงินที่ไม่สูงมากนัก เช่น 1,000 2,000 5,000 10,000 บาท เท่านั้น หรือ จะลงทุนมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับรายได้ของแต่ละคน จากรูปแบบการลงทุนที่ค่อนข้างเปิดกว้างในเรื่องของวงเงินทำให้คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกระดับฐานะ สามารถเลือกใช้การลงทุนในลักษณะนี้ได้

 

ให้การลงทุนแบบ DCA เปรียบได้กับการออมเงินในระยะยาว จึงเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นลงทุน โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้ทุก ๆ เดือนสามารถนำเงินเหล่านั้นประมาณ 10-30% ของรายได้ในแต่ละเดือน ออมในหุ้นเป็นประจำทุกเดือน เหตุผลที่ต้องออมในหุ้นเนื่องจากหุ้นเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่มีสภาพคล่องสูงสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่ายอีกทั้งยังสามารถให้ผลตอบแทนที่สูงได้เมื่อเทียบกับการลงทุนประเภทอื่น แต่อย่างไรก็ตามผู้ลงทุนควรศึกษาเรื่องความเสี่ยงก่อนลงทุนด้วย

 

จากรูปแบบการลงทุนที่สม่ำเสมอเป็นประจำทุก ๆ เดือน จะทำให้ต้นทุนที่เราลงทุนถูกหารเฉลี่ยไปเรื่อย ๆ ส่งผลให้พอร์ตการลงทุนของเราไม่ผันผวนมาก แต่การลงทุนแบบ Dollar Cost Average ให้ประสบความสำเร็จต้องดูสภาพตลาดด้วยว่า บริษัทที่เรากำลังเข้าไปลงทุนนั้นราคาของหุ้นได้สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทไปแล้วหรือยัง เราสามารถประเมินราคาได้โดยดูจากค่า PE Ratio ของปีนี้เทียบกับปีในอดีตว่าหุ้นที่เราจะเข้าซื้อแพงเกินไปหรือไม่ เช่น ปัจจุบัน หุ้น A มี PE 20 เท่า แต่ปีที่ผ่านมา PE อยู่ที่ 10 เท่า นั่นหมายความว่า ปัจจุบันหุ้น A มีราคาสูงกว่าในอดีตมาก เพราะบริษัทต้องทำกำไรขึ้นเท่าตัวถึงจะประสบความสำเร็จ นี่ก็เป็นการประเมินการลงทุนแบบง่ายๆ

 

ทำไมการลงทุนในเส้นทางสายนี้หลายคนถึงไม่สำเร็จ เนื่องจาก หลายคนคิดว่าการลงทุนในเส้นทางนี้จะซื้อเมื่อไหร่ก็ได้โดยไม่สนใจว่าขณะนั้นราคาถูกหรือแพง อีกทั้งจังหวะเวลาที่เข้าซื้อในช่วงแรกไม่ดีพอทำให้ต้องย้อมแพ้ในที่สุด TerraBKK Research จึงได้เปรียบเทียบให้ผู้อ่านได้เห็นถึงการทำ DCA ที่ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จ ดังตัวอย่างที่จะแสดงดังต่อไปนี้ (ข้อมูลเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1/05/2556 ถึง 4/02/2558)

 

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

 

กราฟเปรียบเทียบผลตอบแทนระหว่าง ฝากธนาคาร กับลงทุนแบบ ​Dollar Cost Average ในหุ้น 3 ตัว

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

 

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

 

สรุปผลตอบแทนจากการลงทุนแบบ​ Dollar Cost Average ในหลักทรัพย์แต่ละประเภท

จากตัวอย่างข้างต้นที่ทาง TerraBKK Research ได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบระหว่างการฝากประจำผ่านธนาคาร กับการลงทุนแบบ Dollar Cost Average ในบริษัท PAE, PTG และ TAPAC จากตัวอย่างเราจะเห็นว่า ตลอดระยะเวลาที่เราลงทุนมา 2 ปี 8 เดือน

  • ผลตอบแทนของธนาคาร จากเงินต้น 165,000 บาทโตขึ้นมาเป็น 169,034 บาท คิดเป็นผลตอบแทน +2.44%
  • ส่วนการลงทุนแบบ DCA ในแต่ละบริษัท
    • PAE ผลตอบแทน -76.39% ผลตอบแทนขาดทุนได้เช่นกัน
    • PTG ผลตอบแทน +162.85%
    • TAPAC ผลตอบแทน +542.42%

เราจะเห็นว่าการลงทุนแบบ DCA ให้ผลตอบแทนทั้งบวกและลบไม่ได้มีแค่ด้านบวกด้านเดี่ยว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาในการลงทุนและคุณภาพของบริษัทด้วยว่ามีโอกาสเติบโตมากน้อยขนาดไหน TerraBKK Research ขอแนะนำว่าก่อนการลงทุนแบบ DCA นักลงทุนควรที่ศึกษาตัวบริษัทก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน ว่าบริษัทที่จะเข้าไปลงทุนมีโอกาสในการเจริญเติบโตมากน้อยขนาดไหน และบริษัทมีสถานะทางการเงินแข็งแร่งหรือไม่ ถ้าภาพรวมดีของการลงทุนแบบ DCA ก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จสูง การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรอ่านข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน - เทอร์ร่า บีเคเค

 

บทความโดย : TerraBKK คลังความรู้ TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก