สิ่งแรกที่เราแทบทุกคนทำเมื่อตื่นนอนในทุกเช้า คือเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว อาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน แต่ที่หลายๆ คนไม่รู้ก็คือในขั้นตอนเหล่านี้ มีสิ่งหนึ่งเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคและสัมผัสกับเราโดยตรงทุกเช้า นั่นคือแปรงสีฟัน

            เราถูกสอนกันมาตลอดว่าเพื่อสุขอนามัยที่ดี ควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง คือตื่นนอนตอนเช้า และก่อนนอนตอนกลางคืน หากขยันกว่านั้นควรแปรงทุกครั้งหลังอาหาร ซึ่งหมายความว่าแปรงสีฟันจะต้องสัมผัสกับช่องปากเราทุกวันวันละ 2 ครั้งหรือมากกว่านั้น เชื้อโรคต่างๆ ที่สะสมมาทั้งวันทั้งหลับและตื่นจะมากองรวมกันที่นี่ เพื่อกระจายเข้าไปในช่องปากซึ่งมีเยื่อบุอ่อนนุ่มรวมถึงเข้าไปตามแผลที่เหงือกเดินทางเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง

            มีผลงานวิจัยหลายชิ้นที่สนับสนุนว่าแปรงสีฟันเป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ ที่มีไวรัสเป็นพาหะ ไม่ว่าจะเป็น โรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง ไขข้อ ไวรัสตับอักเสบ และอาการติดเชื้อเรื้อรัง เนื่องจากไวรัสเหล่านี้สามารถเจริญเติบโตได้ดีในที่อับชื้นเช่น ขนแปรงสีฟัน ยิ่งอยู่ในห้องน้ำที่เปียกอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเป็นบ้านอยู่สบายของเชื้อโรคต่างๆ

            ฟังดูแล้วอาจจะรู้สึกว่าน่ากลัว เพราะแปรงสีฟันเป็นของใกล้ตัวที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงไม่ใช้ได้ การไม่แปรงฟันก็ส่งผลร้ายต่อช่องปากไม่น้อยไปกว่าแปรงสีฟันที่หมักหมม การรักษาโรคที่เกิดขึ้นจากแปรงสีฟันทำได้ยาก แต่การป้องกันโรคเหล่านั้นกลับทำได้ง่ายกว่าที่คิด

            เริ่มที่การเลือก แปรงสีฟันที่ดีต้องมีขนแปรงที่อ่อนนุ่ม ไม่คมบาดเหงือก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแผลในปากอันเป็นประตูให้เชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือดได้ง่าย สังเกตได้จากการใช้มือลูบหน้าตัดแปรงต้องไม่รู้สึกว่าสะดุดหรือคม มีความยืดหยุ่นดีเพื่อให้สามารถเข้าถึงทุกซอกมุมในปาก ความกว้างของแปรงพอจะคลุมฟันได้ 2 ซี่โดยประมาณ

            วีธีแปรงที่ถูกต้อง ตอนเด็กๆ คุณครูอาจจะสอนเราว่า ฟันบนปัดลงล่าง ฟันล่างปัดขึ้นบน แต่เมื่อเราโตขึ้นการแปรงฟันจะมีจุดเน้นที่แตกต่างออกไป คือนอกจากแปรงฟันบนล่างตามสูตรแล้วยังต้องเน้นบริเวณคอฟันและเหงือก แปรงในกระพุ้งแก้ม และแปรงลิ้น ยิ่งแปรงฟันสะอาดยิ่งทำให้กลิ่นปากหายไป ควรแปรงโดยใช้แรงที่พอเหมาะ ถ้าแรงเกินไปอาจทำให้เหงือกถลอก เกิดแผลในปากได้

            ดูแลแปรงสีฟันให้ห่างไกลเชื้อโรค การดูแลแปรงสีฟันให้สะอาดอยู่เสมอย่อมช่วยให้สุขภาพเราดีตามไปด้วย การดูแลรักษาแปรงสีฟันมีหลายวิธี สามารถปฏิบัติตามได้ง่ายๆ ดังนี้

            ไม่ใช้แปรงสีฟันร่วมกับผู้อื่นหรือเก็บไว้ในแก้วเดียวกัน เนื่องจากมีโอกาสที่ขนแปรงจะสัมผัสกันเพื่อแลกเปลี่ยนเชื้อโรคได้ง่าย เพราะไวรัสหลายชนิดอายุยืนกว่าที่คิด สปอร์ของไวรัสตับอักเสบบีอยู่ภายนอกร่างกายได้หลายเดือน หากมีบ้านที่ดีอย่างแปรงสีฟัน

            อย่าเก็บแปรงสีฟันไว้ในห้องน้ำ เพราะห้องน้ำเป็นที่อับชื้น แสงสว่างน้อยซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตของเชื้อโรค แต่ส่วนมาก เรามักเก็บแปรงสีฟันไว้ที่อ่างล้างหน้าในห้องน้ำ เพราะสะดวกต่อการใช้งาน ในกรณีนี้ ให้เก็บไว้ในปลอกเก็บแปรงสีฟัน

            ผึ่งให้แห้งก่อน หลังแปรงฟัน เมื่อล้างแปรงสีฟันเสร็จเรียบร้อย ควรเคาะแปรงสีฟันเพื่อสะบัดเอาน้ำออกให้หมาด ผึ้งให้แห้งก่อนเก็บลงปลอก เพื่อไม่เกิดการหมักหมมและเชื้อโรคออกไปได้อย่างรวดเร็ว

            หลีกเลี่ยงแปรงแข็ง ป้องกันไม่ให้เกิดแผลกับเหงือกหรือช่องปากได้ง่าย

            เปลี่ยนแปรงทุก 3 เดือน แปรงสีฟันส่วนใหญ่มีอายุการใชงาน 3 เดือน หากเกินกว่านี้ ขนแปรงจะเริ่มเสื่อม ทำให้ขจัดสิ่งสกปรกได้ไม่ดีเท่าเดิม

            ลวกแปรงด้วยน้ำร้อน น้ำร้อนจะช่วยฆ่าเชื้อโรคที่อาศัยอยู่ในแปรงอย่างได้ผล และยังช่วยให้ขนแปรงที่เริ่มแข็งอ่อนนุ่มลงด้วย

            เปลี่ยนแปรงหลังเจ็บป่วย หากเป็นโรคที่เกิดขึ้นกับช่องปากหรือลำคอ เมื่อหายแล้วควรทิ้งแปรงเก่าไป เพราะในแปรงนั้นอาจมีเชื้อของโรคต่างๆ ที่เคยเป็นตกค้างอยู่ และทำให้เราติดเชื้อเรื้อรังได้

 

            

โดย : TerraBKK.com