ปี 2565 ตัวเลขยอดโอนกรรมสิทธิ์ของบ้านมือหนึ่งและบ้านมือสอง ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลเพิ่มขึ้นถึง 19.5% จากปี 2564 ตามเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้นและยังได้รับอานิสงค์จากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ การผ่อนคลายมาตรการ LTV และมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ทำให้คอนโดฯ ราคา 1-2 ล้านบาทเติบโตชัดเจน

ข้อมูลจากธนาคารเกียรตินาคินภัทร โดยสายงานสินเชื่อธุรกิจ ระบุว่า จำนวนยูนิตเปิดใหม่ในปีนี้คาดว่าจะยังมีการเปิดตัวแรง แตะ 108,600 หน่วย เป็นคอนโดฯ ราว  51% กระจุกตัวในราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท และกลุ่ม 2-3 ล้านบาท ส่วนบ้านแนวราบกลุ่มทาวน์เฮ้าส์ คาดจะเปิดตัวมากที่สุดกว่า 28,000 ยูนิต โดยหลักๆ เป็นกลุ่ม 2-3 ล้านบาท และกลุ่ม 3-4 ล้านบาท

ส่วนบ้านเดี่ยวตลาดหลัก เป็นกลุ่ม 5-7 ล้านบาท และ 7-10 ล้านบาท ขณะที่บ้านระดับราคา 15-25 ล้านบาทและระดับราคา 25-50 ล้านบาทอาจจะมีการเปิดตัวเข้ามาในสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้น จากผลตอบรับที่ดีจากยอดขายในปี 65

ขณะที่ในปี 2566 ตลาดอสังหาฯ กรุงเทพฯ-ปริมณฑล อาจไม่สามารถขยายตัวต่อจากปี 65 ได้มากนัก โดยเฉพาะปัจจัยจาก ดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น และ มาตรการ LTV ที่เข้มงวดขึ้น อาจเป็นตัวฉุดกำลังซื้อของลูกค้าในบางกลุ่ม ทำให้คาดการณ์ยอดขายอสังหาฯปีนี้ อาจลดลงประมาณ 3-4 % เพราะบางทำเลยูนิตเหลือขายสะสมมีโอกาสอิ่มตัว ทำให้มีหน่วยเหลือขายสะสมสูงสุดในรอบ 5 ปี หรือมากกว่า 230,000 ยูนิต ต้องจับตาตลาดคอนโดฯ ที่มีแนวโน้มเกิดโอเวอร์ซัพพลายโดยเฉพาะในโซนบางนา รังสิต เพชรเกษม และรามอินทรา เพราะหลายโครงการเน้นพัฒนาคอนโดฯราคาถูกจำนวนมาก ให้เข้ามาแข่งขันในตลาด

อย่างก็ดีบ้านแนวราบปีนี้ในกลุ่มระดับราคา 3-5 ล้านบาท 5-7 ล้านบาท และ 10-15 ล้านบาท ในทำเลบางนา พระราม 2-บางแค บางบัวทอง และ ราชพฤกษ์ ยังสามารถขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง  ซึ่งปีนี้จะเห็นสินค้าในกลุ่มบ้านแฝดระดับราคา 5-10 ล้านบาทและบ้านเดี่ยว 10-15 ล้านบาทเข้ามาในตลาดมากขึ้น ส่วนบ้านราคา20-50 ล้านบาท ในทำเลบางนา และกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ ยังมีความน่าสนใจ แต่ทั้งนี้ผู้ประกอบการต้องควบคุมปริมาณสต็อกบ้านและขนาดของโครงการให้เหมาะสมกับขนาดของตลาดเป้าหมายด้วย