ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาวิกฤตโควิด สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะภาคธุรกิจ ซึ่งหลายบริษัทประสบปัญหา ทำให้แรงงานตกงานเป็นจำนวนมาก ส่งผลต่ออัตราการว่างงานไทยเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยช่วงก่อนการระบาดโควิด ที่ราว 1% สูงสุด 2.3% ณ ไตรมาส 3 ในปี 2021

แม้ภาพรวมโควิดจะเริ่มคลี่คลาย แต่การฟื้นตัวภาคธุรกิจยังเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปและไม่ทั่วถึง โดยกลุ่มธุรกิจที่ตอบโจทย์การฟื้นตัวการบริโภคหรือสอดรับเทรนด์โลกจะฟื้นตัวได้เร็ว ส่วนบางกลุ่มธุรกิจก็ยังมีความเสี่ยงและฟื้นตัวช้าเพราะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวในปีนี้ หรือ Mega trends ที่เปลี่ยนไป ขณะที่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) มีโอกาสรับผลกระทบหนักกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ จึงมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าและยังจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ

โดย ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC)ด้ศึกษาวิเคราะห์ภาพรวมและแนวโน้มของการฟื้นตัวภาคธุรกิจ เพื่อนำไปสู่ข้อเสนอแนะในการปรับตัวของธุรกิจ รวมถึงนัยเชิงนโยบายภาครัฐที่เหมาะสมในระยะต่อไป

ภาพรวมผลกระทบวิกฤตโควิดต่อภาคธุรกิจ

สำหรับงานศึกษานี้ SCB EIC ใช้ข้อมูลบริษัทจดทะเบียนในไทยจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าตามรายงานงบการเงินช่วงปี 2017 ถึง 2021 โดยมีจำนวนบริษัทที่มีข้อมูลเพียงพอตลอดช่วงเวลาที่ศึกษาราว 1.1 แสนราย ประกอบด้วยธุรกิจขนาดเล็กมากถึง 70.4% และส่วนใหญ่เป็นธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก (Wholesale and Retail) ถึง 38.8% ของจำนวนตัวอย่างบริษัททั้งหมด (รูปที่ 1)

โดยประเมินผลกระทบต่อภาคธุรกิจใน 2 มิติคือ ความสามารถในการทำกำไรและสภาพคล่องของบริษัทที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงวิกฤตโควิดผ่านข้อมูลงบการเงิน

 

สำหรับผลการวิเคราะห์พบว่าค่ากลาง (Median) ROE ของตัวอย่างบริษัทที่นำมาศึกษาปรับลดลงจากค่ากลางเฉลี่ยช่วง 3 ปีก่อนเกิดการระบาดโควิด (ปี 2017-2019) ที่ 8.2% มาอยู่จุดต่ำสุด ณ ปี 2020 ที่ 5.4% ก่อนปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยในปี 2021 ที่ 5.8% (รูปที่ 2 ซ้าย) ในขณะที่สัดส่วน Zombie firm เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 7% จากค่าเฉลี่ย Pre-COVID ที่ 5.7% (รูปที่ 2 ขวา) สะท้อนภาพรวมของภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากทั้งมิติความสามารถในการทำกำไรและปัญหาสภาพคล่อง จึงยังไม่สามารถฟื้นกลับมาได้เท่าระดับก่อนการระบาด

 

 

ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร ทำกำไรลดลงและมีปัญหาสภาพคล่องมากที่สุด

จากมาตรการปิดเมืองและเข้มงวดการเดินทางระหว่างประเทศทำให้กลุ่มธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารได้รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรงในปี 2020 ต่อเนื่องมา ทำให้ความสามารถในการทำกำไรในปี 2021 ลดลงจากปี 2020 อย่างเห็นได้ชัดสะท้อนจากค่าเฉลี่ย ROE กลุ่มธุรกิจโรงแรมในปี 2021 ที่ลดลงมากถึง -16.5% จาก -12.7% ในปี 2020

 

รวมถึงกลุ่มธุรกิจร้านอาหารที่หดตัว -1.6% ในปี 2021 จาก 0.28% ในปี 2020 สะท้อนการฟื้นตัวที่อาจเริ่มต้นช้ากว่าธุรกิจประเภทอื่นและใช้เวลามากกว่า สอดคล้องกับข้อมูล Zombie firm ที่กลุ่มธุรกิจดังกล่าวมีปัญหาขาดแคลนสภาพคล่องสูงและเพิ่มขึ้นมากกว่าธุรกิจกลุ่มอื่น โดยกลุ่มธุรกิจโรงแรมมีสัดส่วน Zombie firm ณ ปี 2021 เพิ่มขึ้นสูงสุด 8pp (Percentage point) เทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนเกิดการระบาดโควิด

 

 

SMEs ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิดรุนแรงกว่าธุรกิจขนาดใหญ่มาก

สะท้อนจาก ROE ในปี 2021 ที่ลดลงมากถึง 3pp เทียบกับช่วงก่อนเกิดการระบาด ขณะที่ ROE ปี 2021 ของบริษัทขนาดใหญ่และขนาดกลาง เริ่มปรับตัวดีขึ้นจากปี 2020 โดยบริษัทขนาดใหญ่ที่ ROE ฟื้นตัวใกล้เคียงกับช่วง Pre-COVID แล้ว

สอดคล้องกับการวิเคราะห์สัดส่วนบริษัท Zombie ที่ในปี 2021 บริษัทขนาดเล็กมีสัดส่วน Zombie firm เพิ่มขึ้นสูงมากกว่า 1.5pp เทียบกับค่าเฉลี่ยก่อนโควิด  (รูปที่ 6) จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะพิจารณาด้านกำไรหรือสภาพคล่อง บริษัทขนาดเล็กในภาพรวมได้รับผลกระทบที่หนักกว่าจากวิกฤตโควิด ซึ่งสาเหตุหนึ่งอาจมาจากข้อจำกัดในการหาเงินทุนหมุนเวียนกิจการและการเข้าถึงสินเชื่อ แม้จะได้รับการผ่อนผันหรือช่วยเหลือจากนโยบายภาครัฐหรือสถาบันการเงินก็ตาม ขณะที่การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของบริษัทขนาดใหญ่อาจทำได้มากกว่าและยังมีการกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดที่หลากหลาย ทำให้ได้รับผลกระทบรุนแรงน้อยกว่า

 

บริษัทขนาดเล็กในกลุ่มโรงแรม ร้านอาหารและอสังหาฯ รับผลกระทบรุนแรงที่สุดและน่าห่วง

โรงแรมขนาดเล็กที่ ROE ลดลงมากถึงระดับเกือบ -20% ในปี 2021 สาเหตุที่ทำให้โรงแรมขนาดเล็กได้รับผลกระทบที่สูงกว่าโรงแรมขนาดกลางและขนาดใหญ่อาจมาจากที่ผ่านมานักท่องเที่ยวมีความกังวลด้านสุขอนามัยอยู่ค่อนข้างมากและโรงแรมขนาดเล็กที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน SHA+ ยังมีสัดส่วนน้อย ขณะที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติที่เริ่มกลับมาเดินทางท่องเที่ยวกลุ่มแรก ๆ ส่วนมากเป็นนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อจึงทำให้อานิสงส์ตกไปสู่โรงแรม 4-5 ดาวที่เป็นโรงแรมขนาดใหญ่ รวมถึงการจัดโปรโมชั่นลดราคาห้องพักตามมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐหรือตามกลยุทธ์การตลาดของโรงแรม 4-5 ดาว ทำให้ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีงบประมาณจำกัดเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ปี 2022 คาดว่าธุรกิจโรงแรมทุกขนาด จะปรับตัวดีขึ้นจากจุดต่ำสุดนปี 2021 เพราะส่วนใหญ่ประกาศเปิดประเทศและทยอยผ่อนคลายมาตรการการเดินทางระหว่างประเทศกลับสู่ภาวะปกติ ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องให้จำนวนนักท่องเที่ยวเร่งตัวขึ้นและธุรกิจโรงแรมฟื้นตัวดีขึ้นเป็นลำดับ  

ขณะที่บริษัทขนาดเล็กในกลุ่มร้านอาหารและอสังหาฯ ได้รับผลกระทบมากกว่าบริษัทขนาดใหญ่เช่นกัน สะท้อนจาก ROE ที่ลดลงจนติดลบในปี 2021 โดยธุรกิจอสังหาฯ ในช่วงโควิดผู้ประกอบการจำเป็นต้องชะลอการเปิดโครงการใหม่จากกำลังซื้อที่ชะลอตัวลงมาก ทำให้บริษัทขนาดเล็กต้องเผชิญปัญหาด้านความสามารถที่ลดต่ำลงอีก รวมถึงยังไม่สามารถทำโปรโมชั่นลดราคาเพื่อระบายสินค้าคงเหลือ (ระบายสต็อก) สู้กับบริษัทขนาดใหญ่หรือขนาดกลางได้จากการบริหารจัดการต้นทุนที่เป็นรอง ทำให้ไม่สามารถลดราคาลงได้มากนัก หากยังต้องการรักษาอัตรากำไรจากการขาย

ส่วนบริษัทขนาดใหญ่- กลางสามารถลดราคาลงได้มากกว่า หรือสามารถยอมขาดทุนจากการขายได้บ้างเพื่อแลกกระแสเงินสดที่กลับเข้ามามาก รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อแบรนด์หรือสินค้าที่มีน้อยกว่า ทำให้ต้องเจอกับปัญหาด้านกระแสเงินสด ซึ่งนำไปสู่ปัญหาด้านการชำระหนี้ต่อไปด้วย

อย่างไรก็ดี น่าสังเกตว่าร้านอาหารขนาดกลางกลับได้รับผลกระทบน้อยกว่าเมื่อเทียบกับบริษัทขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ส่วนหนึ่งอาจเนื่องจากการปรับตัวของร้านอาหารขนาดกลางทำได้ดีกว่าจากการเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคมากขึ้นและเข้าร่วมกับ Platform delivery ที่ต้นทุนไม่สูงเท่ากับบริษัทขนาดใหญ่

การฟื้นตัวของภาคธุรกิจไทยและความท้าทาย

ในปี 2022 ธุรกิจไทยเริ่มกลับมาฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด จำนวนบริษัทจดทะเบียนใหม่ในช่วง 8 เดือนแรกของปีขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2021 รวมถึงมูลค่าขนาดทุนจดทะเบียนใหม่ที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดี หากพิจารณาประเภทธุรกิจยังพบว่า ภาคบริการโดยเฉพาะโรงแรมยังคงมีจำนวนบริษัทจดทะเบียนใหม่ที่อยู่ในระดับต่ำและการจ้างงานที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่

อย่างไรก็ดีการฟื้นตัวของภาคธุรกิจไทยยังคงเปราะบางจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ยังสูงและไม่ทั่วถึง (Uneven) จากความเสี่ยงต้นทุนทางการเงินเพิ่มสูงขึ้น แนวโน้มการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่จะส่งผลต่อธุรกิจที่พึ่งพาภาคการส่งออก รวมถึงความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ส่งผลให้ราคาพลังงานและราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกยังอยู่ในระดับสูงและผันผวนมากขึ้น และปัญหา Supply chain disruption คลี่คลายได้ช้าลง

แต่ด้วยสถานการณ์โควิด ที่ดีขึ้นจะเป็นโอกาสที่ทำให้ภาคธุรกิจของไทยฟื้นตัวได้ ซึ่งกลุ่มกำลังซื้อสูงมีความต้องการสินค้าและบริการ และภาครัฐที่ยังเดินหน้าในโครงการลงทุน Mega project โดยเฉพาะโครงการด้านคมนาคม

โดยธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโต ได้แก่ กลุ่มที่ตอบโจทย์การฟื้นตัวของการบริโภคหรือสอดรับเทรนด์โลกหรือเกี่ยวข้องการลงทุน Mega project ขณะที่บางธุรกิจมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวหรือได้รับผลกระทบจาก Mega trends เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เทคโนโลยีนวัตกรรม และสังคมผู้สูงอายุ 

 

นัยต่อนโยบายภาครัฐและการปรับตัวของธุรกิจ

ในระยะข้างหน้า นโยบายภาครัฐจึงควรปรับเปลี่ยนเพื่อเน้นแก้ไขปัญหาตรงจุดมากขึ้น เพราะบริษัทบางส่วนสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้เป็นปกติมากขึ้นและรายได้เริ่มฟื้นตัวแล้ว ซึ่งนโยบายภาครัฐควรมุ่งเน้นการลดค่าใช้จ่ายพร้อมเพิ่มรายได้ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กในภาคบริการและภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบมากกว่า ผ่านตัวอย่างมาตรการดังนี้

(1) มาตรการช่วยเหลือต้นทุนผู้ประกอบการ

ที่ผ่านมาผู้ประกอบการต้องแบกรับต้นทุนจากราคาพลังงานที่ผันผวนและยังคงมีแนวโน้มสูงต่อเนื่อง ประกอบกับค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับเพิ่มขึ้นและการขาดแคลนแรงงานในภาคบริการ โดยในระยะสั้นภาครัฐควรมีมาตรการอุดหนุนราคาพลังงานและค่าจ้าง โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็กเพื่อให้ธุรกิจยังอยู่รอดได้ ในระยะยาวควรให้ความรู้การวางแผนจัดการต้นทุนของธุรกิจและส่งเสริมการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (Energy efficiency) ผ่านแรงจูงใจภาษีรวมถึงการอุดหนุนทางการเงินเพื่อเร่งให้มีการตัดสินใจลงทุนและเกิดการบริหารจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

(2) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แบบเฉพาะกลุ่มมากขึ้นแทนมาตรการแบบหน้ากระดานให้สอดคล้องกับงบประมาณกระตุ้นการใช้จ่ายที่ลดลงตาม พ.ร.ก กู้เงินฉุกเฉินจากโควิดที่หมดไป เช่น โครงการเราเที่ยวด้วยกันในเฟสต่อไปที่ยังควรถูกนำมาใช้เพื่อช่วยเหลือธุรกิจโรงแรมและภาคบริการ แต่อาจให้การอุดหนุนที่มากกว่าสำหรับโรงแรมขนาดเล็ก หรือมาตรการให้ค่าซื้อสินค้าหรือบริการสามารถนำมาใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เช่น ช้อปดีมีคืน ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้บริโภคมากกว่าสำหรับการใช้จ่ายจากสินค้าและบริการธุรกิจขนาดเล็ก

 

สิ่งสำคัญนอกเหนือจากความช่วยเหลือจากภาครัฐที่กล่ามา ผู้ประกอบการควรจะเข้าใจถึงปัญหา และให้ความสำคัญต่อการปรับตัวเพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปเช่นกัน โดยคำนึงถึงปัจจัยดังนี้

(1) รักษาเสถียรภาพของธุรกิจควบคู่กับการบริหารความเสี่ยง (Maintain viability & risk management)
โดยเน้นดูแลงบการเงิน ผ่านการลดต้นทุนการดำเนินงานที่ไม่จำเป็นและลดผลกระทบจากความผันผวนของต้นทุน อย่างเช่น ปรับปรุงกระบวนการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักร และเพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในการทำธุรกิจให้สามารถปรับตัวหลังพ้นวิกฤติได้รวดเร็ว

(2) เน้นตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า (Customer centric) จากการติดตามการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค โดยอาจใช้ Data analytics เพื่อติดตามความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป หรือสร้าง Customer journey โดยคำนึงถึง New normal requirement และพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าหรือแก้ไข Pain points ของลูกค้า อย่างเช่น การออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าในภาวะสินค้ามีราคาแพงโดยเน้น Best value for money

(3) ปรับโมเดลในการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป (Business transformation) ตามพฤติกรรมผู้บริโภคและสภาวะตลาด อาทิ ปรับโมเดลการขาย Direct-to-consumer, Subscription model, As-a-service model รวมถึงการขยายโอกาสไปในธุรกิจด้านอื่น ๆ เพื่อลดความเสี่ยงผลกระทบจากการพึ่งพารายได้ทางเดียวและเพิ่มโอกาสเติบโตระยะยาว

(4) ลงทุนเพื่ออนาคต (Invest for the future)

ผ่านการลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
(เช่น AI automation) การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การวิจัยพัฒนาสินค้า เพื่อตอบโจทย์ความต้องการตลาดและแก้ไขปัญหาด้านการผลิต เช่น พัฒนาสินค้าที่มีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนวัตถุดิบในการผลิต และลงทุนแผน Retrain และ Reskill-Upskill พนักงานเพื่อเพิ่มทักษะฝีมือแรงงาน ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนการทำธุรกิจโดยรวมปรับลดลงได้ในระยะยาวและสอดรับกับเทคโนโลยีและเทรนด์ใหม่

ขอบคุณข้อมูลจาก : ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC)