แม้ไทยจะไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อภายในประเทศมานานเกือบ 90 วันแล้ว แต่การระบาดในต่างประเทศยังหนัก ซึ่งวิกฤติครั้งนี้ทำให้ไทยกำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ ดังนั้นการปรับตัวและมีสติในทุกการเปลี่ยนแปลง ถือเป็นทางออกที่สำคัญ

แม้ประเทศไทยจะไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อโควิด-19 ภายในประเทศมาสักพักใหญ่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถวางใจได้ 100% มาตรการดูแลรักษาสุขอนามัยทั้งส่วนตัว และเพื่อส่วนรวมยังต้อง “เข้มงวด” และ มี “วินัย” กันต่อไป ล่าสุดที่ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลว่า แม้ไทยจะไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อภายในประเทศมานานเกือบ 90 วันแล้ว แต่การระบาดในต่างประเทศยัง “หนัก” ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 22 ล้านคน เสียชีวิต 7.7 แสนคน อัตราเพิ่ม 4 วัน 1 ล้านคน 

ศ.นพ.ยง บอกว่า เมื่อดูจากอัตราเพิ่มเช่นนี้แล้ว คาดการณ์ว่าสิ้นปีนี้ทั่วโลกจะมีผู้ติดโควิดราว 50 ล้านคน และเสียชีวิต 1-5 ล้านคน สิ่งที่เป็นความหวัง คือ ยารักษาที่จะลดความรุนแรงของโรค รวมถึง "วัคซีน" ที่ใกล้ความจริงขึ้นมาทุกขณะเพราะปัจจุบันมีกว่า 6 บริษัท ได้ทำการทดลองในมนุษย์ระยะที่ 3 แล้ว ดังนั้นน่าจะมีอย่างน้อย 1-2 บริษัท ที่ทำวัคซีนได้สำเร็จ แต่สิ่งสำคัญในช่วงระหว่างรอวัคซีน คือ ระวังอย่าให้เกิดปัจจัยอื่นใดไปกระตุ้นให้เกิดการระบาดระลอก 2 ซ้ำได้อีก ดังนั้นการ์ดต้องหนักแน่นถึงที่สุด

หากมองอีกมุม โควิด-19 ก่อให้เกิดความร่วมมือทางการแพทย์ครั้งประวัติศาสตร์ แม้ว่าแต่ละประเทศยังคงเฝ้าระวังกันอย่างเข้มข้น จนทำให้การเดินทางระหว่างประเทศเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่กับบุคลากรด้านการแพทย์และเภสัชกรรมที่เร่งคิดค้นวัคซีนและยารักษาโรคโควิด-19 กลับตื่นตัวกันเต็มที่ เพราะทุกประเทศล้วนมีเป้าหมายเดียวกันในการพิชิตโรคระบาดครั้งนี้ให้ได้สำเร็จ ความร่วมมือระหว่างประเทศในการแลกเปลี่ยนความรู้และข้อมูลที่จำเป็นต่อการพัฒนาวัคซีนจึงขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่บุคลากรทางการแพทย์ก็เร่งทำงาน เพื่อพัฒนาวัคซีนให้ได้โดยเร็วที่สุด

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมโลก ส่วนหนึ่งเป็นผลพวงจากการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ที่อาจดูเหมือนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันรวดเร็วในระยะแรก หากเราเริ่มรับรู้กันในวงกว้างแล้วว่าเจ้าโรคระบาดนี้คงอยู่กับเราไปอีกนาน จนอาจเกิดผลกระทบ สร้างการเปลี่ยนแปลงมากมายมหาศาลเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้ ไม่นับผลกระทบทางเศรษฐกิจ และสังคม ที่เราต่างรู้ซึ้งกันอยู่แล้ว แต่ผลเกี่ยวเนื่องกับภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม และการดำเนินชีวิต ยังมีเรื่องที่เรามองไม่เห็นอีกมาก วันนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ ที่ส่งผลต่อการก้าวเดินของชีวิตนับจากนี้ การมองความเปลี่ยนไปของโลก ทั้งเรื่องความคิด ทัศนคติ เทคโนโลยี โรคระบาด ฯลฯ ยังคงไม่มีจุดสิ้นสุด เพราะการสิ้นสุดของสิ่งหนึ่ง คือ การเกิดขึ้นของสิ่งใหม่อยู่เสมอ "การปรับตัว" และ "มีสติ" ในทุกการเปลี่ยนแปลง น่าจะเป็นทางออกที่ไม่เลวนัก

SOURCE : www.bangkokbiznews.com