ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล วิเคราะห์สถานการณ์โควิด19 ในประเทศไทย ว่า มีการระบาดระลอก 2 ขึ้นแน่ การติดเชื้อสามารถกลับมาได้ตลอดเวลา แต่จะเป็นแบบสโลวเบริน คือ มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แบบช้าๆ  โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน 2-3 วันนั้น เป็นอุทาหรณ์ที่ทำให้เรากลับมาเข้มงวด ยกตัวอย่าง หากประเทศไทย คนใส่หน้ากาก100% มีการเว้นระยะห่างได้เกือบทั้งหมด ทหารอียิปต์คนนั้นโอกาสในการจะแพร่โรคน้อยมาก ยิ่งเราใส่หน้ากากอนามัยฯ เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ โอกาสรับเชื้อก็จะน้อยลงไปอีก

"ปัญหาคือว่า ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นคนจำนวนหนึ่งเริ่มใส่หน้ากากอนามัยฯน้อยลง ไม่ค่อยล้างมือ ภาพคือ ถ้าคนเหล่านี้อยู่ที่จังหวัดระยอง พวกเขาก็ต้องตกใจแน่ พอตกใจ ก็เกิดปฏิกิริยากลับมามหาศาล เพราะเป็นกังวล ผมคิดว่า เขาอาจไม่กังวลว่าตัวเขาติดเชื้อเพียงอย่างเดียว เขาอาจกังวลต่อด้วยซ้่ำ ว่าเขาติดเชื้อ หรือนำเชื้อไปติดคนอื่นหรือเปล่า"

ต้องทำตามขั้นตอนสอบสวนโรค

    ตามขั้นตอนทฤษฎี เริ่มจากการค้นหา คือ ค้นหาคนที่อาจจะรับเชื้อ เช่น คนใกล้ชิด แต่ต้องรู้ก่อนว่าคนที่มีเชื้อนั้นไปที่ไหนมาบ้าง เจอใคร แต่อย่างทหารอียิปต์ที่จังหวัดระยอง เข้าใจว่า อาจไม่ได้โหลดแอพพลิเคชั่น ไทยชนะ เพราะฉะนั้นข้อมูลตรงนี้ของ ไทยชนะ ไม่สามารถช่วยได้ในการติดตามสอบสวนโรค ขบวนการต่อจากนี้ คือเจ้าหน้าที่ต้องไปสืบสวน ไปตรวจคนที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง ช่วงเวลาเดียวกันกับคนที่ติดเชื้อ  เบื้องต้น เคสที่จังหวัดระยอง ตรวจเชื้อไปเยอะมาก ซึ่งผลออกมาตอนนี้ คือไม่พบเชื้อ แต่ต้องมีการตรวจต่อไปเรื่อยๆ  สมมติหากตรวจแล้วเจอ 1-2 ราย ต้องไปหาต่อว่าเขาไปใกล้ชิด สัมผัสใครต่อไหม หากทั้งหมดตรวจแล้วไม่เจอเลย ผมก็อยากฝากตรงนี้ไว้ว่า อย่าพึ่งคิดว่าจะ100% เพราะกระบวนการสืบสวนเราอาจจะไม่ครอบคลุมทั้งหมด แต่โอกาสเสี่ยงเราน้อยลง

 

"ครั้งนี้เป็นบทเรียนที่ดี ผมเชื้อว่าปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น เพราะคนกลัว กลัวว่าโควิด19จะกลับมา ผมไม่อยากเรียกว่า มาตรการที่ทำหลังทราบว่าพบผู้ติดเชื้อ ที่จังหวัดระยองทำเกิดเหตุ แต่ต่อไปเราอาจไม่จำเป็นต้องทำมากขนาดนี้  หากเรามีเครื่องมือที่ไวในการค้นหาก่อน  ภาวนาไว้    แล้วสิ่งที่วันนี้เราต้องรีบมาแถลงข่าว เพราะผมเกรงว่าจะมีผู้ติดเชื้อเพิ่ม แต่สิ่งที่สำคัญ คือทำอย่างไรไม่ให้มันกระจาย  วันนี้ถึงต้องรีบกลับมาย้ำทันที ถ้าผมไม่รีบออกมาพูดวันนี้ เสาร์ อาทิตย์นี้ คนออกไปทำกิจกรรม แล้ววันจันทร์อาจจะพบผู้ติดเชื้อ โดยผมไม่เชื้อว่า จังหวัดใดในตอนนี้จะปลอดภัยทั้งหมด  เพราะเราไม่รู้ ทางที่ดีคือ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนในประเทศไทยตอนนี้ กลับมาเหมือนเดิม คือ ใส่หน้ากากอนามัยฯ รักษาระยะห่าง ล้างมือ และเช็คอิน เช็คเอาท์  โดยขอให้เราทำอย่างนี้กันไปก่อน แล้วรอดูผล และกรุณาให้ข้อมูล และก็ต้องฝาก คนไทยใดก็ตาม ต่อให้ไม่ได้ไปจังหวัดระยอง แต่หลายวันนี้ มีไข้ อาการเข้าข่ายสงสัย ขอให้รีบไปโรงพยาบาล อย่าไปคิดว่าเราคงไม่มีเชื้อ  เพราะเราไม่รู้ว่า คนที่เราเคยคุยด้วยกลับมาจากระยองหรือเปล่า เพราะฉะนั้น หากสงสัย ก็ไปรพ. เพื่อคัดกรอง ตรวจ ฟหากติดเชื้อก็เข้าสู่กระบวนการ รักษา ถ้าไม่ใช่เราจะได้สบายใจ" ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว

 

กลุ่มVIP ควรยกเลิกสิทธิพิเศษในการกักตัวหรือไม่

     ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ ระบุว่า ปกติแล้วมันมีข้อตกลงระหว่างประเทศ แต่ขณะเดียวกันข้อตกลงระหว่างระประเทศ เรากำลังพูดถึงกฎ ถ้าจะให้พูดจริงๆ คือ ไม่อยากเรียกว่าจิตสำนึก แต่มันคือการให้เกียรติกัน เราเองเราก็เคารพในกฎระหว่างประเทศ แต่ขณะเดียวกันเราก็ห่วง เราไม่ได้รังเกียจว่าอีกฝ่ายจะติดเชื้อหรือไม่ติดเชื้อ แต่หากทุกคนช่วยกันเงื่อนไขเขามีให้อยู่แล้ว ต้องอยู่ในสถานที่กลายๆ

เหมือนสถานที่กักกันของรัฐ แต่ต้องดูอย่างเข้มงวด เป็นการภายในหากทำได้ ก็สามารถยอมรับได้ วันนี้ทุกๆสถานทูตที่อยู่ในประเทศไทย ท่านทั้งหลายเหล่านั้นคงจะต้องกลับมาช่วยเราบ้างแล้ว คือ เข้มงวดกฎเกณฑ์ต่างๆในการเฝ้าระวังโรคที่ตกลงกันไว้ อย่าให้ถึงกับเกิดเหตุการณ์ที่ว่า กลายเป็นว่าเกิดการระบาด เพราะสิ่งเหล่านี้มันไม่ดีในควาทมสัมพันธ์ระหว่างประเทศในอนาคต

 

ความรุนแรงในการระบาด ระลอก2

    การระบาดระลอก2 นั้น นายแพทย์แอนโทนี ฟอซี  หลายคนคงจะรู้จักเป็นคนที่รู้เรื่องการแพร่ระบาดโรคดีมาก ในสถานที่ในอเมริกา เขาเป็นนักวิชาการที่ศึกษาในเรื่องนี้ เขาบอกว่า ปัจจัยที่จะทำการระบาดระลอก 2 ในแต่ละประเทศรุนแรงหรือไม่รุนแรงขึ้นอยู่กับ 1. การตรวจ 2.การค้นหา แต่หลักการใหญ่ คือการแยกคนภายในประเทศนั้นๆให้ชัดเจนก่อน ว่าใครคือผู้เสี่ยงติดเชื้อ ใครคือเสี่ยงแพร่เชื้อ แล้วดูมาตรการในการไปควบคุมคนเหล่านั้นให้เข้มงวด  ใครเป็นผู้เสี่ยงติดเชื้อ ไปพิสูจน์เลยว่า เขาติดเชื้อไหม ถ้าติดเชื้ออยู่โรงพยาบาล รักษา  ขณะเดียวกัน ต้องกันคนเหล่านั้นด้วย คือ ใครเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ ระหว่างที่ยังไม่รู้ว่าใครมีโอกาสแพร่เชื้อหรือไม่ หรือที่เรียกว่า กลุ่มPUI  ก็ต้องนำตัวมากักเฝ้าระวังโรคก่อน เพื่อให้แน่ใจว่ามีเชื้อหรือไม่ หากเราทำแบบนี้ กระบวนการเข้มงวดแบบนี้ จะไม่มีผู้ติดเชื้อหลุดสู่สังคม  แต่หากมีไปผ่อนคลายแม้ขั้นตอนเดียวแล้วหลุดออกไป ก็พบเลยว่า อาจจะเกิดอันตราย และแพร่เชื้อได้

 

"โดยส่วนตัวผมไม่อยากให้มีข้อยกเว้น เรากำลังพูดถึงสถานการณ์ที่ทุกคนเป็นกังวล และข้อยกเว้นที่เกิดขึ้น ถ้ายกเว้นมากเกินไป ยิ่งยกเว้นหลายๆชั้น ยิ่งเกิดผลกระทบกลับมา และอาจจะกลับมาไม่เหมือนเดิม   ผมอยากฝากไว้ว่า ในช่วงสถานการณ์แบบนี้  อย่าไปมัวแต่นั่งเสียเวลาชี้ว่าใครถูกใครผิด เท่ากับว่า เรากำลังเสียเวลากับการป้องกันประเทศ ในเวลานี้ ผมคิดว่า ความผิดพลาดมันเกิดขึ้นได้ในหลากหลายประเทศ แต่สิ่งที่เราต้องทำเวลานี้คือ จะทำอย่างไรไม่ให้เกิดการแพร่ระบาด ขอให้มั่นใจในสิ่งที่เราทำมากันตลอด  ไม่ว่ารัฐบาลจะแนะนำหรือไม่แนะนำแต่การใส่หน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง ล้างมือบ่อย ขอให้คงอยู่เป็นนิสัย เพราะดีต่อตัวเราเอง เป็นความรับผิดชอบของเราต่อประเทศ ผมเชื่อว่า บทเรียนที่เกิดขึ้น ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจะต้องไม่เกิดซ้ำ"  ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว

 

ต้องเฝ้าระวังโรคทางชายแดน ผ่านช่องทางธรรมชาติ

    ทุกจุด เท่าที่ผมติดตามดู คนที่จะลักลอบเข้าประเทศเข้าไม่ผ่านมาตามด่าน เขาต้องเดินมาในพื้นที่ที่ไม่มีด่าน ไม่มีการตรวจ ซึ่งคนเหล่านี้ เขาเข้ามาในประเทศผิดกฎหมาย เราไปตรวจเขาก็ไม่เจอ เขาไม่ปรากฏตัว คนเหล่านี้ผมเชื่อว่าอาจจะมีอยู่ในสังคมไทยเวลานี้ ตัวเลขที่มันอาจจะกลับขึ้นมาก็อาจจะมี ดีที่สุด อันดับแรก ขอความกรุณา ผู้ประกอบการอย่าเอาคนแบบนี้เข้ามาทำงาน อย่ามองแรงที่เข้ามาแบบคือ ถูก เข้ามาทำงาน  แต่หากเกิดการแพร่กระจาย มันจะไม่ถูกเลย มันจะแพงมหาศาล หากคนเหล่านี้เข้ามา กรุณาช่วยแจ้งเจ้าหน้าที่อย่างน้อยให้เข้าไปสกัดคนเหล่านี้ ไปตรวจคนเหล่านี้ หรือส่งกลับ หรืออะไรก็แล้วแต่  เพื่อให้แน่ใจว่าคนเหล่านี้ไม่ได้เป็นผู้แพร่กระจาย   ชายแดนชายขอบทั้งหลายที่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ ก็ทำหน้าที่อยู่อย่างเต็มที่  แต่เรามีระยะทางเป็นพันๆกิโลเมตร ที่ยังไงก็ไม่สามารถดูได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้น รัฐบาลทำ ผู้ประกอบการทำ ตัวเราเองก็ต้องทำ ณ วันนี้  ผมไปเห็นร้านบางร้านที่บางที่ลูกจ้างไม่ใช่คนไทย คำถามคือคนเหล่านี้มาทำงานอย่างถูกต้องหรือเปล่า  ถ้าเราช่วยกันสอดส่องแบบนี้ เรามีโอกาสสกัดกันคนเหล่านี้ อาจจะไม่ได้ 100% แต่ทำได้ 99% ก็ลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อได้

"ตอนนี้ทั่วโลกเต็มไปด้วยลูกไฟ คือมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพิ่มขึ้น และลูกไฟนี่เอง สามารถที่จะเข้าประเทศไทยได้ หากมีการหลุดลอดเข้าประเทศไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่สิ่งที่ไทยจะทำได้ คือ การควบคุมจัดการโรคให้ได้อย่างรวดเร็วเมื่อพบการแพร่ระบาด   การจัดการโรคติดเชื้อ  ต้องมองโลกทั้งใบ การเดินทางผ่านชายแดน ยิ่งการเดินทางผ่านชายแดนด้วยเท้าเปล่า มีโอกาสเป็นไปได้สูง หากมีการหละหลวมในการคุมเข้ม มาตรการคุมโรค และมาตรการสาธารณสุข ย้ำสิ่งที่เราทำอยู่ขณะนี้ต้องเข้มงวด"

 

การประกาศว่าสถานการณ์การติดเชื้อในประเทศเป็นศูนย์ ทำให้ปชช.ผ่อนการปฏิบัติตัว

       เวลาเราประกาศออกไป หรืออย่างที่ผมออกไปบอกใครบางคนว่า ใส่หน้ากากอนามัยฯเถอะ เขาก็จะบอกกลับมาว่า  จากการที่ประกาศออกมา เราไม่มีผู้ติดเชื้อมากว่า 50 วันแล้ว เราจะใส่หน้ากากอนามัยฯทำไม จะรักษาระยะห่างทำไม ตรงนี้เองถึงบอกว่าเรามองเหรียญแค่ด้านเดียว แต่ความเป็นจริงแล้วมันมีเหรียญอีกด้านหนึ่งนะ หากมีคนใดคนหนึ่งติดเชื้อโควิด-19 แต่เขาแข็งแรงดี มีการใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ มีการทำระยะห่าง แล้วมีการไปพบปะคนอื่น บังเอิญอีกฝ่ายก็ทำมาตรการเดียวกัน ต่อให้คนนั้นมีการแพร่เชื้อ การแพร่เชื้อสู่คนอื่นจะน้อยมาก / แต่หากถอดหน้ากากอนามัยฯ ไม่มีการปฏิบัติตัวด้านสาธารณสุข เชื้ออาจสามารถแพร่กระจายได้

"มันก็ไม่ได้ผิดหรอกที่มีการประกาศให้ทราบ ว่าในประเทศไม่มีการติดเชื้อ เพียงแต่ที่ผมอยากกระตุกชวนให้คิดสักนิดหนึ่ง  ถึงเหตุการณ์ในต่างประเทศที่เกิดการระบาดในระลอก2 หลายประเทศยังคงสงสัยว่ามาจากไหน ทำไมอยู่ถึงโผล่ออกมา มีการติดเชื้อ เช่น ประเทศจีนที่ไม่มีการติดเชื้อมากว่า 57 วัน แล้วอยู่ๆมีการติดเชื้อกลับมาอีกครั้ง  ถึงบอกว่า นี่คือไวรัสที่เรามองไม่เห็น มันมีโอกาสที่จะเข้ามา  สำคัญที่ว่า เมื่อเข้ามาแล้ว มันไปต่อไม่ได้ หากเราใส่หน้ากากอนามัยฯ และเราทำสิ่งเหล่านี้ ที่ย้ำกันมาตลอด โดยคิดว่าเราควรเน้นการป้องกันตรงนี้จะดีกว่า ต่อให้ใครจะประกาศว่ามีผู้ติดเชื้อรายใหม่หรือไม่ ยังไงวันนึงเชื้อก็เข้ามาอยู่ดี"

 

สร้างความสมดุล ระหว่าง สังคม เศษฐกิจ ในสถานการณ์โควิด-19

    ถ้าทุกครั้งที่เราออกจากบ้าน เราใส่หน้ากากอนามัยฯ แล้วเราทำตามมาตรการทุกอย่างหมด โอกาสที่จะเกิดการติดเชื้อเยอะๆ ผมยืนยันเลยว่าน้อยมาก  ถ้าหากกลับมาติดเชื้อ รอบ2 มันจะเป็นสโลว์เบริน คือ ขึ้นมานิดหน่อย ที่สำคัญคือ กรมควบคุมโรค ต้องลงไปดูทันที ว่ากิจกรรมใด ที่ทำให้เกิดการกระจายเชื้อ หยุดการกระจายเชื้อนั้น มีมาตรการที่เข้มงวดกับกิจกรรมนั้น  กิจกรรมอื่นที่ไม่มีหลักฐานว่าไม่เกิดการพร่กระจาย ก็ให้ดำเนินต่อไป เพื่อให้เศรษฐกิจเคลื่อนต่อไป เราก็ไม่ต้องไปในกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เพื่อป้องกันตัวเรา ครอบครัวเรา ซึ่งกิจกรรมที่เสี่ยง เขาก็ต้องรีบดำเนินการแก้ไข หากเขาไม่แก้ไข้ เขาก็อยู่ต่อไม่ได้

   "ผมยืนยันเลยว่า หากเราทำตามนี้ เศรษฐกิจยังคงเดินต่อไปได้ ที่สำคัญ คนที่ร่วมมือดีนั่นแหละ เศษฐกิจถึงจะไปได้ คนที่ไม่ทำตามาตรการ มีการติดเชื้อ เขาก็จะถูกลงโทษไปโดยปริยาย  ในใจผม ผมก็ยังคงยืนยันในสิ่งที่ผมพูด ว่ารอบ2 ยังไงก็มา แต่ผมเชื่อว่า กว่าร้อยละ90 รอบ2ในไทยจะเป็นแบบสโลว์เบริน คือ ติดเชื้อแบบเล็กๆน้อยๆ  โดยเหตุการณ์ที่เกิดที่จังหวัดระยอง ผมคิดว่าสังคมไทย ระวังเรื่องนี้อยู่ เกือบครึ่งคนระวังทันที  ผลกลับมองว่าเป็นสัญญาณที่ดีอย่างหนึ่ง ว่าเราไม่ได้ละเลย จนกระทั่งเราไม่สนใจมัน เพียงแต่ว่ามันเกิดเหตุการณ์ฉุกละหุกขึ้นมาทันที แต่อย่างน้อยจิตสำนึกเรา คือ เรารูู้ว่าเราต้องทำอะไรกัน"