Peref Care มิติใหม่ของการลงทุนอสังหาฯ

         การลงทุนในอสังหาฯปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของนักลงทุนรุ่นใหม่มากขึ้น สะท้อนจากการออกผลิตภัณฑ์เพื่อการลงทุนใหม่ๆ ออกมาตอบรับตลาด เช่นเดียวกับ ECG – Research (บริษัทที่ปรึกษาการเงินการลงทุนนอกตลาดหลักทรัพย์เฉพาะราย หรือ Private Equity Consulting) ที่ได้จัดงานสัมมนา PROP ON TOP : The Ultimate Ownership ฝ่าวิกฤติการลงทุนอสังหาฯ เจาะลึกเทรนด์การลงทุนปี 2020  ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการลงทุนคอนโดฯ สร้างกำไร 20% ทันทีที่ซื้อ เพื่อนำเสนอ Peref Care ผลิตภัณฑ์ใหม่ของการลงทุนที่ให้มากกว่าการซื้ออสังหาฯทั่วไป ด้วยการจ่ายในราคาที่ถูกกว่า 15-25%

         นาย กัมพล วิเชียรโหตุ รองประธานผู้จัดการบริษัท อีซีจี-รีเซิร์ซ จำกัด กล่าวว่า ความน่าสนใจของการลงทุนด้วย PerefCare นี้ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งอสังหาฯระดับพรีเมี่ยม จะเป็นสินค้าที่ตอบโจทย์ โดย ECG – Research จึงได้คิด PerefCare ผลิตภัณฑ์เพื่อการลงทุนแบบใหม่ โดย PerefCare จะป้องกันความเสี่ยง และปกป้องเงิน สร้างกำไรทันทีที่ซื้อให้กับนักลงทุน ด้วยคอนเซปต์ Pay Less, Earn More โดยนักลงทุนจะใช้เงินลงทุน 75-85% ของราคาเต็ม และ PerefCare จะช่วยสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนเพื่อใช้ในการซื้ออสังหาฯจนครบ 100%

        ซึ่งโมเดลนี้ ECG – Research ได้ร่วมกับ Habitat Group เพื่อให้ลูกค้าที่ซื้อโครงการของ Habitat Group ได้ลงทุนใน PerefCare  ลองยกตัวอย่างการลงทุนด้วย PerefCare ง่ายๆ ก็คือ คุณลงทุนซื้อคอนโดฯ ในราคา 10 ล้านบาท จะต้องวางเงินดาวน์ 15% (1.5 ล้านบาท) และคุณมีเงินเก็บที่ต้องการนำมาลงทุนอยู่ 1 ล้านบาท คุณก็สามารถเอามาลงทุนเพิ่มใน PerefCare ได้ โดยเลือกระยะเวลาในการลงทุนตั้งแต่ 1-4 ปี หรือมากกว่านั้น ตามความสามารถของลูกค้า ทั้งนี้เงินที่ลงทุนใน PerefCare จะแยกออกจากก้อนเงินดาวน์ 15%

จากตารางแสดงผลตอบแทนจะเห็นว่า การลงทุนใน PerefCare จะสร้างผลตอบแทน ตั้งแต่ 7.25-10% ต่อปี ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการลงทุน ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่ลูกค้าจะได้รับทันทีซื้อ (ตั้งแต่ก่อสร้าง) ซึ่งเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงกว่าการปล่อยเช่าปกติ ที่รับผลตอบแทนเฉลี่ยราว 5% ต่อปี ดังนั้นการซื้อคอนโดฯ มูลค่า 10 ล้านบาท ที่จะสร้างเสร็จในช่วง 2 ปีข้างหน้า หากมีการซื้อร่วมกับลงทุนใน PerefCare ลูกค้าจะใช้เงินจ่ายจริง ที่ 8,610,000 ล้านบาท ซึ่งภายใน 2 ปี PerefCare จะสร้างผลตอบแทนได้เท่ากับจำนวที่ต้องจ่ายจริง (ซึ่งจะมีการจ่ายผลตอบแทนทุก ๆ 6 เดือน)

 

         ทั้งนี้ลูกค้ายังมั่นใจเรื่องการลงทุนได้ เพราะ PerefCare มีระบบ SCPG (Secure Cross Payment Guarantee) ซึ่งเป็นระบบที่พัฒนาขึ้นมายกระดับความปลอดภัย โดยมีบริษัท PEREF Holding S.R.I. รับประกันเงินดาวน์ โดยจะสร้างผลกำไรผ่านการลงทุนในผลิตภัณฑ์ PerefCare และผู้พัฒนาอสังหาฯ จะรับประกันส่วนของการลงทุนใน PerefCare ซึ่งนักลงทุนจะมั่นใจได้ว่า SCPG เป็นระบบที่สร้างความปลอดภัยให้กับการลงทุนได้ดี

          นายโอภาส ถิรปัญญาเลิศ เจ้าของเพจ โอภาส ใหญ่ Hi – Happy Investor กล่าวว่า ตลาดอสังหาฯยุคนี้ยังมีปัจจัยท้าทายหลายด้าน ที่มีผลกับการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค โดยเฉพาะมาตรการ LTV และค่าเงินบาทที่แข็งค่า ทำให้กลุ่มนักลงทุนคนไทย และนักลงทุนต่างชาติ ซื้อลดลง แม้รัฐบาลจะออกมาตรการสนับสนุนการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และผู้พัมนาฯก็ออกมาอัดโปรโมชั่นเยอะ แต่การซื้อของลูกค้าก็ยังกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทในบางทำเลเท่านั้น และน่ากังวลเพราะเป็นกลุ่มที่มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อสูง  

         ซึ่งในแง่ของนักลงทุนชาวไทยก็ยอมรับว่าแม้จะมีมาตรการสกัดนักลงทุน แต่ก็ยังมีการลงทุนในกลุ่มอสังหาฯต่อเนื่อง เพราะมองว่าในวิกฤติยังมีโอกาสอยู่เสมอ ดังนั้นในปี 2020 ผู้พัฒนาอสังหาฯจำเป็นต้องวิเคราะห์ข้อมูล ความต้องการของลูกค้าให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้ายุคใหม่ที่เน้นการหาข้อมูล เปรียบเทียบ ก่อนตัดสินใจซื้ออย่าเข้มข้น ขณะที่นักลงทุนก็ยังคงมั่นใจพร้อมที่จะลงทุนในอสังหาฯอยู่ต่อเนื่อง แต่จะเน้นเลือกทำเล และบริษัทผู้พัฒนาที่ไว้ใจได้ และหากมีผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อการลงทุนอย่าง PerefCare ก็มีความน่าสนใจ เพราะจะช่วยเพิ่มสร้างมูลค่าการลงทุน

 

ขอบคุณข้อมูลจาก ECG – Research