อยู่ดีๆ โดนัลด์ ทรัมป์ก็ประกาศผ่านทวิตเตอร์เมื่อต้นสัปดาห์ว่า สินค้าจีนมูลค่ากว่า 200,000 ล้านเหรียญที่เข้าตลาดสหรัฐฯ จะถูกเก็บภาษีเพิ่มจากเดิม 10% เป็น 25%

 

               

ใครที่ติดตามข่าวสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ได้เห็นข่าวนี้ก็ต้องแปลกใจเป็นธรรมดา เพราะก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ทรัมป์เองเป็นคนออกข่าวว่า "ข่าวดี" กำลังจะมา และวันศุกร์ที่จะถึงนี้จะมีการประกาศความคืบหน้าในทางบวกผลการเจรจาของสองฝ่ายที่ลากยาวมาพอสมควร

                แต่แล้วทรัมป์ก็สร้างความตระหนกให้ทั้งโลก ด้วยการบอกว่าจะเดินหน้าปรับขึ้นภาษีสินค้าจีนเข้าสหรัฐฯ วันศุกร์นี้แล้ว

                เหตุผลของทรัมป์มีสั้นๆ ห้วนๆ ว่า "เพราะการเจรจาเดินหน้าช้าเกินไป"

                นี่เป็นลีลาของ "นักต่อรอง" อย่างทรัมป์อีกครั้งหนึ่งที่ไม่มีความเกรงอกเกรงใจใครทั้งสิ้น แม้กระทั่งสี จิ้นผิงของจีนที่ทรัมป์ย้ำเสมอว่าเป็น "เพื่อนซี้" กันมาตลอด

                มีเพื่อนอย่างทรัมป์ไม่ต้องมีศัตรูก็ได้ เพราะแกพูดอะไรทำอะไรไม่ให้เกียรติคนที่เป็นคู่เจรจาเลยแม้แต่น้อย

                ความจริงทรัมป์ประกาศว่าจะขึ้นภาษีสินค้าจีนเข้าสหรัฐฯ รอบใหม่จาก 10% เป็น 25% มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ตอนแรกที่ประกาศเป็นข่าวนั้นใครๆ ก็มองออกว่าเป็นเพียงการออกข่าวเพื่อจะกดดันจีนเท่านั้น

                สี จิ้นผิงไม่ได้แสดงความหวั่นเกรงต่อคำขู่นั้นแต่อย่างใด ตอบกลับด้วยการบอกว่าจีนไม่ต้องการจะทำสงครามการค้ากับอเมริกา แต่ถ้าหากสหรัฐฯ ใช้วิธีข่มขู่คุกคาม ไม่ใช้เหตุและผล จีนก็ไม่กลัว ปะฉะดะก็ปะฉะดะว่างั้นเถอะ

                แต่ในจังหวะนั้นทรัมป์ก็ถอย ขอส่งทีมไปเจรจาซึ่งปักกิ่งก็บอกว่าการหาทางออกด้วยการพูดจานั้นเป็นสิ่งที่จีนปรารถนาอยู่แล้ว เพราะไม่ได้ต้องการทำศึกสงครามกับอเมริกาแต่อย่างใด

                จากนั้นเราก็ได้ข่าวเป็นระยะๆ ว่าจีนพร้อมจะซื้อของเพิ่มจากอเมริกาเพื่อลดการได้ดุลการค้ากับอเมริกา เพื่อให้สหรัฐฯ เห็นความจริงใจของจีนที่จะร่วมกันแก้ปัญหา

                แรกๆ ทรัมป์ก็ดูเหมือนจะมองเห็นว่าการที่จีนยอมอ่อนข้อเป็นชัยชนะของตน จึงเขียนทวิตเตอร์ด้วยเนื้อหาทำนองว่าแกกับสี จิ้นผิงกำลังจะประกาศข้อตกลงที่ยิ่งใหญ่

                ทรัมป์เรียกการตกลงว่า deal เสมอ

                คำว่า deal นั้นปกติจะใช้สำหรับนักธุรกิจที่ใช้กลเม็ดเด็ดพรายในการต่อรองเพื่อให้ตนได้ประโยชน์สูงสุดเท่านั้น แต่สำหรับผู้นำโลกแล้วคำนี้มีความหมายในทางติดลบด้วยซ้ำไป เพราะฟังเหมือนกับมีการใช้ลูกเล่นสารพัดเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบตน

                แต่ทรัมป์ไม่แคร์ เพราะโตมาพร้อมกับความเชื่อที่ว่าไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร ชัยชนะย่อมวัดกันที่  deal มิใช่การทำให้ทั้งสองฝ่ายที่ต่อรองกันได้ประโยชน์ทั้งคู่อย่างที่ฝ่ายจีนเรียก win-win

                 พอทรัมป์แสดงอาการทะลุกลางปล้องออกมาอย่างนี้ ฝ่ายจีนที่มีผู้นำคณะเจรจาคือรองนายกฯ หลิว เฮ่อ ก็บอกว่ากำลังพิจารณาจะเลื่อนการเดินทางไปวอชิงตันที่เดิมกำหนดไว้ว่าเป็นสัปดาห์นี้

                เดิมจะพบกันรอบใหม่เพื่อหาข้อสรุป จะได้ประกาศ "สงบศึก" อย่างที่เป็นข่าวมาก่อนหน้านี้

                แต่เมื่อทรัมป์พลิกเกมอย่างนี้แล้ว จีนก็คงต้องถอยมาตั้งหลักเพื่อปรับกลยุทธ์ว่าจะเล่นกับทรัมป์อย่างไร

                เป็นเรื่องค่อนข้างแปลกที่ผู้นำสหรัฐฯ กลายเป็น "เด็กเกเร" ที่ส่งเสียงโวยวายได้ตลอด ขณะที่สี จิ้นผิงกลับเล่นบทผู้ใหญ่ สงบนิ่ง พยายามหลีกเลี่ยงวิธีการ "แลกหมัด" อย่างที่ผู้นำจีนในยุคก่อนๆ เคยใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในเวทีระหว่างประเทศมาก่อนหน้านี้

                ทรัมป์ยิงทวิตเตอร์เรื่องนี้ออกมาเป็นชุด

                หลังจากส่งข้อความทวิตเตอร์เรื่องจะขึ้นภาษีสินค้าเข้าจากจีนที่มียอด 200,000 ล้านเหรียญจาก 10% เป็น 25% ในวันศุกร์นี้แล้ว เขาก็ยังออกข่าวต่อทำนองว่าสหรัฐฯ กำลังพิจารณาปรับภาษีของสินค้านำเข้าจากจีนอีกชุดหนึ่ง มีมูลค่า 325,000 ล้านเหรียญด้วย

                ต่อมาทรัมป์ก็ส่งข้อความทวิตเตอร์อีกว่า

                "อเมริกาขาดดุลการค้ามาหลายปีติดต่อกันแล้ว ปีละ 600,000 ถึง 800,000 ล้านเหรียญ กับจีนประเทศเดียว เราก็ขาดดุล 500,000 ล้านแล้ว เสียใจด้วย เราจะไม่ยอมให้เป็นอย่างนี้อีกต่อไป"

                ว่าแล้วโลกก็ตกอยู่ในภาวะหวั่นไหวต่อไป เพราะทรัมป์ถือว่าตัวเองเป็น "นักต่อรองตัวยง" ที่ยังเอาสี จิ้นผิงไม่ลงนี่แหละ! 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก www.thaipost.net