โลกาภิวัฒน์ช่วยกระชับระยะห่างระหว่างประเทศมากขึ้น ทำให้ในอนาคตตัวเลขของการส่งออกจะเติบโตเร็วยิ่งกว่า GDP ซะอีก โดยตัวเลข GDP ในปี 2030 จะอยู่ที่ประมาณ 4% แต่ตัวเลขการส่งออกคือ 5.3% เนื่องจากการการลงทุนโดยตรงจากภาคเอกชนต่างประเทศ (FDI) จะเติบโตมากขึ้น ซึ่งประเทศปลายทางที่จะเกิดการลงทุนมากที่สุดคือ จีน และ อินเดีย และจะทำให้ จีนเป็นประเทศที่มีการเติบโตของ GDP สูงที่สุดในโลก (9%) ตามมาด้วย อินเดีย (8.4%), บราซิล (5.5%) และรัสเซีย (5.3%) จนเกิดการเรียกกลุ่มประเทศเหล่านี้ว่า BRIC โดยประเทศเหล่านี้จะเป็นตลาดการลงทุนนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยประเทศที่มีสัดส่วนของการส่งออกมากที่สุดในโลกคือจีน

คาดการณ์กันไปถึงขนาดที่ว่า ในปี 2026 (หรืออีกเพียงแค่ 10 ปี) ประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแรงที่สุดในโลกจะถูกเปลี่ยนมือจากสหรัฐอเมริกาเป็นจีน และอินเดียจะเติบโตขนสามารถแทนที่ญี่ปุ่นได้ในปี 2030 ถึงตอนนั้นเราอาจจะนึกขอบคุณรัฐบาลนี้ที่ผูกมิตรกับจีนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆก็ได้

การลงทุนข้ามชาติมากขึ้น ประเทศมหาอำนาจจะถูกเปลี่ยนมือ

อย่าได้ดูถูกพวกเค้าเลยเชียว เพราะหลังจากที่ BRIC จะชูธงนำทัพแซงหน้าหลายประเทศในโลกไปก่อนแล้ว ยังมีกลุ่มประเทศคลื่นลูกใหม่ที่นานาชาติกำลังจับตามอง นั่นคือ Next Eleven (บังคลาเทศ, อียิปต์, อินโดนีเซีย, อิหร่าน, เม็กซิโก. ไนจีเรย, ปากีสถาน, ฟิลิปปินส์, เกาหลีใต้, ตุรกี และเวียดนาม) ที่คาดการณ์กันว่าจะมีตัวเลขการส่งออกเติบโตที่สุด (12%) และมีการเติบโตของ GDP ถึง 5.9% โดยประเทศที่เป็นเสาหลักใน Next Eleven ได้แก่ เกาหลีใต้, เม็กซิโก และตุรกี

สำหรับ ASEAN ของเราก็ได้รับอานิสงส์จากการเติบโตของ BRIC ด้วยเช่นกัน เนื่องจากการเป็นประเทศคู่ค้าอันดับต้นๆ ทำให้ ASEAN เป็นอีกกลุ่มประเทศที่คาดการณ์ว่าน่าจะเติบโตมากที่สุดรองจาก Next Eleven โดยประเทศที่จะมีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดคือ อินโดนีเซีย และ ไทย (ซึ่งทำให้เรามีความหวังและใจชื้นอยู่บ้าง) ในขณะที่ประเทศที่เติบโตเร็วที่สุดคือ ฟิลิปปินส์ (เติบโตถึง 7.5%) และสำหรับตัวเลขการส่งออก เวียดนามจะเติบโตเป็นที่หนึ่ง (9%) และเขี่ยประเทศไทยลงไปอยู่อันดับที่สอง ( 6.6%) เนื่องจากเวียดนามกำลังเข้าสู่ภาวะการพัฒนาเมืองอย่างจริงจังนั่นเอง

เมื่อจีนขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของมหาอำนาจ จะเกิดอะไรขึ้น?

ถึงแม้การที่รัฐบาลประกาศ ม.44 ไฟเขียวรถไฟฟ้าความเร็วสูงร่วมกับจีน จะทำให้คนเกือบทั้งประเทศคัดค้านไปตามๆกัน แต่ความจริงแล้วใครจะไปรู้ว่ารัฐบาลนี้อาจจะคิดถูก? เพราะถ้าหากจีนไต่เต้าเป็นที่หนึ่งของโลกได้จริง จะช่วยยกระดับเศรษฐกิจของประเทศเราไปด้วย เรามาดูกันก่อนว่าความสัมพันธ์ของประเทศไทยกับจีนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

จีนกำลังรัดเข็มขัดกระชับโลก

หลายคนอาจจะทราบกันมาอยู่แล้วว่าจีนมีนโยบาย One Belt One Road (OBOR) คือการเชื่อมโยงเศรษฐกิจระหว่างจีนกับอีก 64 ประเทศทั่วโลกทั้งทางบกและทางน้ำ โดยจีนควักเงินลงทุนถึง 8 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์ ครอบคลุมประชากรถึง 4.4 พันล้านคน หรือก็คือคนจำนวนครึ่งโลกเลยทีเดียว โดยนโยบายเศรษฐกิจที่ประเทศไทยเกี่ยวข้องด้วยก็คือ ระเบียงเศรษฐกิจจีน-คาบสมุทรอินโดจีน (CICPEC), ระเบียงเศรษฐกิจอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) แลโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง (ไทย-จีน) ที่ก็ต้องยอมรับว่าจีนได้ประโยชน์ไปเต็มๆถ้าหากสามารถก่อสร้างให้เสร็จสิ้นได้ และไทยจะได้รับอานิสงส์เล็กน้อย จากการเป็นเส้นทางผ่านเพื่อเชื่อมกับประเทศอื่นๆตามเส้นทางเศรษฐกิจของจีน

จีนแซงหน้าญี่ปุ่น เป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย

ปี 2556 จีนได้ขึ้นมาเป็นประเทศคู่ค้าของไทยอันดับ 1 แซงหน้าประเทศญี่ปุ่นที่นั่งตำแหน่งมากว่า 22 ปี ไม่ใช่แค่นั้น! โลกเรามีจำนวนประเทศทั้งหมด 193 ประเทศ และการลงทุนของจีนนั้นครอบคลุมไปถึง 160 ประเทศ คิดเป็น 83% ของทั้งโลก โดยจีนมีการลงทุนในต่างประเทศใหญ่เป็นอันดับที่ 2 รองจากอเมริกา มูลค่าการลงทุน 183,000 ล้านดอลลาร์ ก็ไม่น่าแปลกใจที่วันนี้รัฐบาลไทยจะอยากหันมาอิงไหล่พักพิงจีน เพราะการลงทุนในต่าปงระเทศของจีนถึง 60% นั้นอยู่ที่เอเชีย-แปซิฟิก โดยปี 2559 ที่ผ่านมา เรามีมูลค่าการค้ากับจีนถึง 65,000 ล้านบาท

ทำไมเราถึงคิดว่าจีนจะเติบโตได้อีกอย่างแน่นอน? เหตุผลมาจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ในจีน ทำให้มีการกระจายไปต่างประเทศเพื่อสร้างแบรนด์สินค้า ทั้งการควบกิจการท้องถิ่นและการเพิ่มส่วนแบ่งในตลาด ยกตัวอย่างเช่น สินค้าพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า Haier หรือ TCL ที่ปัจจุบันได้รับความนิยมในอเมริกาเท่าเทียมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าจากเกาหลีใต้และญี่ปุ่น โดยในอนาคตคาดว่าจีนคงจะกลายเป็นเจ้าใหญ่ที่เข้าชิงสัดส่วนตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าของโลก

จีนหว่านซื้ออสังหาฯ ทั่วโลกเป็นอันดับ 1

ประชากรจีนมีจำนวนมากที่สุดในโลกคือจำนวน 1.3 พันล้านคน คิดดูว่าจะมีคนรวยตั้งกี่ร้อยล้านคนที่ต้องการกระจายพอร์ตการลงทุน โดยข้อมูลจาก CBRE บอกว่าปี 2559 ที่ผ่านมา มูลค่าการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในต่างชาติของจีนมากถึง 9.8 แสนล้านบาท

สำหรับประเทศไทยปี 2559 มีชาวจีนเข้ามาซื้ออสังหาฯในไทยเป็นอันดับ 1 เม็ดเงินกว่า 2.4 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็นซื้อเพื่อลงทุน 51.8% ซึ่งคนจีนมองไทยเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากราคาที่ดินในจีนนั้นสูงกว่าประเทศไทยประมาณ 20% และการซื้ออสังหาฯ ที่ไทยนั้นสามารถทำกำไรได้ นอกจากนั้นยังมีการร่วมลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมและโรงแรมเป็นส่วนใหญ่ แต่ในปี 2559 พบข้อมูลว่านักลงทุนชาวจีนมีการลงทุนในโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์เชิงอุตสาหกรรมมากที่สุด เราอาจจะเห็นการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมอย่างพื้นที่ EEC (ชลบุรี, ฉะเชิงเทรา, ระยอง) ที่มีนายทุนเป็นชาวจีนมากขึ้น

การเติบโตและนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศของจีนนั้น ถือว่าเป็น Mega Trend ที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้เลยทีเดียว เพราะครอบคลุมประชากรเกินครึ่งโลก อีกทั้งไม่ได้มีแค่จีนเท่านั้น แต่ยังมีอินเดีย BRIC กลุ่ม Next Eleven รวมไปถึง ASEAN ที่น่าจะเติบโตมากขึ้น ถึงแม้ประเทศไทยเราจะเป็นประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจช้าที่สุดในอาเซียน แต่ก็ยังมีความหวังน้อยๆว่าในอนาคตสถานการณ์บ้านเราคงจะดีขึ้นเสียที

บทความโดย : TerraBKK เคล็ดลับการลงทุน
TerraBKK ค้นหาบ้านดี คุ้มค่า ราคาถูก