ในขณะที่กำลังวาดฝันวางแผนจะซื้อบ้านซักหลัง กลับต้องพังครืนลงมาเพราะ “ธนาคารไม่อนุมัติ” หลายคนจึงมองว่า ขั้นตอนการติดต่อธนาคารนี่แหละ เป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด ซึ่ง TerraBKK Research บอกได้เลยว่าไม่เสมอไป เพราะหากคุณมีการเตรียมตัวที่ดี ศึกษาข้อมูลมากพอ วันนี้ TerraBKK Research จะมาบอก 3 อุปสรรคที่ธนาคารจะปฏิเสธ สินเชื่อบ้าน เรา ใครที่กำลังมีแผนว่าจะซื้อบ้าน ระวัง 3 สิ่งต่อไปนี้

1. เปลี่ยนงาน

อย่าเพิ่งสงสัยว่าทำไมแค่เปลี่ยนงาน ธนาคารถึงกับไม่ให้กู้เลย ซึ่งจริงๆแล้วการเปลี่ยนงานถือเป็นเรื่องสำคัญมากของการยื่นกู้ เพราะมันหมายถึงความมั่นคงของรายได้ ไม่มีอะไรมาการันตีว่าเราจะผ่านทดลองงานหรือไม่? ไม่มีอะไรมาการันตีว่าเราจะอยู่ที่ใหม่ได้นานแค่ไหน? ซึ่งนั่นแปลว่าธนาคารต้องเสี่ยงปล่อยกู้ให้กับคนที่ไม่มีความมั่นคงอะไรเลย ดังนั้นพึงระลึกไว้เสมอว่า อย่าเพิ่งเปลี่ยนงานในขณะที่กำลังยื่นกู้บ้าน

2. หนี้ล้นพ้นตัว

หากคุณผ่อนรถ ผ่อนบัตรเครดิต ฯลฯ อยู่แล้ว และอยากจะผ่อนบ้านเพิ่มอีก ช้าก่อน! อย่าเพิ่งรีบบึ่งไปที่ธนาคารเพื่อให้เค้าตอบกลับมาว่าหนี้เกินตัว กลับมาคำนวณปริมาณหนี้สินก่อนว่า มากเกินไปที่จะกู้เพิ่งหรือเปล่า? โดยวิธีการคำนวณสัดส่วนหนี้ต่อรายได้คือ

(รวมหนี้สินทั้งหมด/รายได้ทั้งหมด) x 100 = สัดส่วนหนี้สินต่อรายได้ เรียกว่า DTI (Debt to Income)

ถ้าเกิน 36% ก็มีโอกาสที่จะกู้ไม่ผ่าน ทางแก้ก็คือ ต้องไปลดสัดส่วนหนี้สินลง ไม่ว่าจะเป็ด ปิดบัตรเครดิต, ผ่อนรถให้หมด เป็นต้น

3. ประวัติการชำระหนี้ไม่ดี

ใครที่เคยติดหนี้ค้างชำระบัตรเครดิต หรือการผ่อนชำระต่างๆ ก็จะถูกจัดให้เป็นบุคคลติดหนี้เครดิตบูโร ซึ่งเมื่อคุณไปยื่นขอสินเชื่อเพื่อกู้บ้านใหม่อีกครั้ง ธนาคารก็จะเรียกดูรายงานข้อมูลเครดิตจากบริษัท หากพบว่าคุณเคยมีประวัติการชำระที่ไม่ดีมาก่อน การขอสินเสื่อครั้งนี้มีสิทธิ์ที่จะโดนปฏิเสธสูงมาก ซึ่งเราก็ไม่สามารถไปแก้ไขประวัติอะไรได้แล้ว นอกเสียจากจะต้องสร้างเครดิตที่ตั้งแต่แรก หรือหากเกิดขึ้นไปแล้วก็แก้ไขไม่ได้ แต่ไม่ต้องตกใจไป ไม่ได้แปลว่าชีวิตนี้คุณจะกู้อะไรไม่ได้อีก เพราะข้อมูลเหล่านี้จะอยู่ในระบบไม่เกิน 3 ปี หลังจากนั้นก็สามารถขอสินเชื่อตามปกติได้ แต่อย่าลืมล่ะ หากคิดจะซื้อบ้านก็อย่าเพิ่งไปสร้างหนี้เพิ่ม - เทอร์ร่า บีเคเค