มติ กนง. 5 ต่อ 2 เสียง คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.00 ต่อปีเหมือนเดิม

นายเมธี สุภาพงษ์ เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุมกนง. ในวันที่ 28 มกราคม 2558 ดังนี้ คณะกรรมการฯ มีมติ 5 ต่อ 2 เสียงคงให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.00 ต่อปี โดย 2 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 ต่อปี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงตามราคาพลังงาน และมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะหลุดขอบล่างของกรอบเป้าหมายในปีนี้ แต่ไม่ถือเป็นภาวะเงินฝืด เพราะอุปสงค์ในประเทศยังขยายตัวและราคาสินค้าส่วนใหญ่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำมันไม่ได้ปรับลดลง ซึ่งทำให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัว อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มจะปรับสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ตามแนวโน้มราคาน้ำมันโลกเมื่ออุปทานและอุปสงค์ทยอยปรับตัวเข้าสู่สมดุล เสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินโดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ต้องติดตามคุณภาพของสินเชื่อครัวเรือนและการปรับตัวของราคาสินทรัพย์ ในการตัดสินนโยบาย กรรมการส่วนใหญ่ประเมินว่านโยบายการเงินในปัจจุบันอยูในเกณฑ์ผ่อนปรนเพียงพอต่อการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อีกทั้งการคงดอกเบี้ยนโยบายจะไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงิน ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยนดยบายอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องมานาน และตลาดการเงินโลกมีแนวดน้มผันผวนมากขึ้น อย่างไรก็ดีกรรมการ 2 ท่านเห็นว่า นโยบายการเงินควรสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเพิ่มเติม ในช่วงที่ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกมีมากขึ้น แรงกระตุ้นจากการคลังยังต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผลชัดเจน และอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำมากไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงปรับสูงขึ้น ในระยะต่อไป กรรมการเห็นพ้องถึงความจำเป็นที่นโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนปรนต่อเนื่องเพื่อนสนับสนุนให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างชัดเจน ทั้งนี้กรรมการจะติดตามพัฒนาการทางเศรษฐกิจและการเงินของไทยอย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะดำเนินนโยบายที่เหมาะสมต่อไป ก่อนหน้านี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า กนง.จะตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 2 ในการประชุมวันที่ 28 มกราคม 2558 จากการที่เครื่องชี้ทางเศรษฐกิจบางรายการเริ่มปรากฎให้เห็นสัญญาณการฟื้นตัว ขณะที่แรงกดดันทางด้านราคายังอยู่ในระดับต่ำ และคาดว่าจะยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมายของธปท.ในปีนี้ได้ ส่งผลให้ ธปท.สามารถรอประเมินความต่อเนื่องในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจผ่านกลไกหลักต่างๆ อาทิเช่น การใช้จ่ายของภาครัฐ การบริโภคภาคเอกชน และการส่งออกประกอบกับติดตามประเด็นที่อาจนำไปสู่ความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดการเงินโลกในระยะข้างหน้าไม่ว่าจะเป็นท่าทีในการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางในต่างประเทศที่จะเริ่มมีความแตกต่างกันมากขึ้น วิกฤตการณ์ในรัสเซียและการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของเฟด อย่างไรก็ดี หากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นช้ากว่าที่คาดไว้ และเหตุการณ์ดังกล่าวในต่างประเทศเริ่มส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินในประเทศเพิ่มขึ้น ก็ยังมีโอกาสที่ กนง. อาจจะพิจารณาทางเลือกในการใช้นโยบายการเงินเพื่อดูแลเศรษฐกิจเพิ่มเติมในอนาคต