หนังสือพิมพ์เดอะไทม์สรายงานว่า เฮดจ์ฟันด์หลายแห่ง ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทบริหารหุ้นเอกชนรายใหญ่ที่สุดของโลก กำลังวางแผนที่จะเสนอซื้อธุรกิจในเอเชียมูลค่า 9 พันล้านปอนด์ของเทสโก้ ขณะที่เทสโก้เตรียมเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้
วาณิชธนกิจหลายแห่งเปิดเผยกับเดอะไทม์สว่า พวกเขาได้ลงนามในข้อตกลงที่จะให้คำแนะนำกับบริษัทบริหารหุ้นเอกชน และสถาบันขนาดใหญ่ ที่ต้องการจะร่วมเป็นหุ้นส่วนกับผู้ค้าปลีกของเอเชีย และจัดทำข้อเสนอเพื่อประมูลซื้อธุรกิจในเอเชียที่สำคัญของเทสโก้
ทั้งนี้ สินทรัพย์ที่ให้ผลกำไรมากที่สุดในบรรดาสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักในอังกฤษของเทสโก้ คือธุรกิจของเทสโก้ในไทยและเกาหลีใต้ โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่า ธุรกิจของเทสโก้ในไทยอาจมีมูลค่า 5 พันล้านปอนด์ ส่วนธุรกิจในเกาหลีใต้อาจมีมูลค่า 4 พันล้านปอนด์
หุ้นเทสโก้พุ่งขึ้นมากที่สุดในดัชนี FTSE 100 ในตลาดหุ้นลอนดอนวันนี้ โดยทะยานขึ้น 1.8% ท่ามกลางภาวะซื้อขายที่หนาแน่น โดยมีปริมาณซื้อขายมากกว่า 1 ใน 3 ของระดับเฉลี่ยรายวันในรอบ 90 วัน หลังจากตลาดเปิดทำการไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
ก่อนหน้านี้ หุ้นเทสโก้ทรุดลงกว่า 20% นับตั้งแต่บริษัทได้เตือนว่าได้แจ้งกำไรในช่วงครึ่งปีแรกสูงเกินจริงถึง 250 ล้านปอนด์ในเดือนที่แล้ว เทสโก้มีกำหนดแถลงผลประกอบการรอบครึ่งปีในวันพฤหัสบดีนี้
เทสโก้ ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกใหญ่อันดับ 3 ของโลก มียอดขายตกต่ำลงจนถึงขั้นที่ทำให้ทางบริษัทจำเป็นต้องระดมเงินมากยิ่งขึ้น เพื่อจะนำมาใช้รับมือกับหนี้สินและยอดขาดดุลเงินบำนาญที่พุ่งสูงขึ้น
ฐานะการเงินของเทสโก้ได้รับแรงกดดันในช่วงนี้ โดยเทสโก้มีหนี้สุทธิ 6.6 พันล้านปอนด์ ซึ่งสูงถึง 3.2 เท่าของกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และสูงกว่าเป้าหมายที่ทางบริษัทตั้งไว้ที่ 2.5 เท่า โดยสัดส่วนหนี้สินสุทธินี้มีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก นอกจากนี้ อัตราส่วนหนี้ต่อทุนของเทสโก้อยู่ที่ 0.76 ซึ่งสูงกว่าค่ากลางของอุตสาหกรรมนี้ที่ 0.53
ปัจจัยเหล่านี้และผลกำไรที่ดิ่งลงของเทสโก้ส่งผลให้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือบางแห่ง ประกาศเตือนว่า ทางสถาบันอาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของเทสโก้ลง โดยขณะนี้เทสโก้มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่สูงกว่าสถานะ "ขยะ" เพียง 2 ขั้นเท่านั้น
ทั้งนี้ เทสโก้เคยเป็นบริษัทที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องเมื่อหลายปีก่อน แต่เริ่มประสบปัญหาในช่วงปลายทศวรรษ 2000 เมื่อเทสโก้จำกัดการลงทุนในอังกฤษ เพื่อนำเงินไปลงทุนใน กิจการใหม่ในเอเชียและยุโรปตะวันออก ขณะที่ขาดทุนอย่างมากจากความล้มเหลวในสหรัฐ และเทสโก้มีการปรับตัวอย่างเชื่องช้าต่อการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในอังกฤษ โดยห้างขนาดใหญ่นอกตัวเมืองของเทสโก้สูญเสียความนิยมจากประชาชน ในขณะที่พวกเขาหันไปซื้อสินค้าจากร้านค้าในท้องถิ่นและจากระบบออนไลน์
นอกจากนี้ เทสโก้ยังเผชิญกับคู่แข่งทั้งในตลาดระดับบนและระดับล่างด้วย โดยเทสโก้ต้องแข่งขันกับบริษัทอัลดีและบริษัทลีเดิล ซึ่งเป็นเครือข่ายร้านขายสินค้าราคาถูก และต้องแข่งขันกับบริษัทเวทโรสและบริษัทมาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์ ซึ่งเป็นเครือข่ายร้านค้าปลีกในตลาด
ส่วนวิกฤติการเงินของเทสโก้ทวีความรุนแรงขึ้นในปีนี้ โดยได้ออกประกาศเตือนเรื่องผลกำไรถึง 3 ครั้งในช่วง 64 วัน ขณะที่เทสโก้ตรวจพบความผิดพลาดในระบบบัญชี โดยเหตุการณ์นี้ ส่งผลให้นายวอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีชื่อดัง กล่าวว่า การที่เขาถือครองหุ้นเกือบถึง 4 % ในเทสโก้ถือเป็น "ความผิดพลาดครั้งใหญ่" และหลังจากนั้นเขาก็ลดการถือหุ้นในเทสโก้ลง
โดยนายเดฟ ลูว์อิส ซีอีโอคนใหม่ของเทสโก้ เปิดเผยกับพนักงานว่า เขาคาดหวังว่าจะสามารถระบุอย่างชัดเจนและถูกต้องเกี่ยวกับผลกระทบของความผิดพลาดทางบัญชีวงเงิน 250 ล้านปอนด์ (402.18 ล้านดอลลาร์) เมื่อเทสโก้รายงานผลประกอบการรอบครึ่งปีแรกในวันพฤหัสบดีนี้
ซึ่งคาดว่าเทสโก้ จะชี้แจงต่อตลาดเกี่ยวกับความคืบหน้าในการสอบสวนความผิดพลาดในการทำบัญชีของบริษัท โดยบริษัทตรวจสอบบัญชีดีลอยต์ และบริษัทเฟรชฟิลด์ส ซึ่งเป็นบริษัทกฏหมาย เป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบในเรื่องดังกล่าว